วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

ธรรมจากหลวงปู่เจือ สุภโร เรื่องการทำสมาธิ ท้องฟ้า แผ่นดิน

เคยได้ยินชื่อหลวงปู่มานานแล้วจากพี่กัลยาณมิตรที่รู้จักท่านหนึ่ง ที่คอยสอนและแนะนำกันมา พี่แนะนำให้ไปลองรู้จักและฟังธรรมจากหลวงปู่เจือ ตอนนั้นก็รับคำว่าถ้ามีโอกาสจะลองไปกราบท่าน แต่ด้วยที่ยังไม่ได้ใส่ใจมากนัก เลยไม่ได้ไปกราบหลวงปู่อยู่นาน ผ่านมาเกือบปี จนกระทั่งวันหนึ่งอยู่ๆก็นึกถึงหลวงปู่ท่านขึ้นมาเสียเฉยๆ และก็ยังจำคำที่คุยกับไพี่ได้ดี เลยตั้งใจว่าจะไปกราบท่าน หลังจากนั้นก็ลองหาข้อมูลว่าท่านอยู่ที่ไหน เทศน์ที่ไหน พอหาข้อมูลได้ความว่าท่านพักอยู่ที่สำนักสงฆ์ชื่อ สำนักสงฆ์หลวงปู่เจืออยู่แถวปทุมธานี 

พอวันถัดมาก็ขับรถไปกราบหลวงปู่เลยทันที ไปถึงสำนักสงฆ์ของหลวงปู่บ่ายโมงเศษๆ หลวงปู่ท่านกำลังนอนพักผ่อน พอเข้ากุฏิไปกราบท่าน คือแค่เห็นท่านแว็ปแรกก้รู้สึกได้ว่า โห หลวงปู่รูปนี้ท่านต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ออร่า รังสี เปล่งออกมาจนรู้สึกได้จริงๆ ขนาดท่านนอนหลับอยู่ และมารู้ภายหลังว่าหลวงปู่ท่านอายุเกือบ ๑๐๐ ปีแล้ว ยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ ตอนนั้นก็ได้แต่กราบหลวงปู่และนั่งคุยกับลูกศิษย์ ถึงธรรมะที่ท่านสอน พอฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า เป็นธรรมะที่เราไม่เคยรู้มาก่อนหลายอย่าง ฟังแล้วยอมรับเลยว่าโอ้โหๆ ถือว่าเปิดตาความรู้เราหลายเรื่องและฟังเพลินมาก จนในที่สุดก็ได้หนังสือและแผ่นซีดีของหลวงปู่กลับมาฟัง

หลังจากนั้นก็ลองฟังและลองปฏิบัติตามที่หลวงปู่สอนเรื่อยๆ เห็นเป็นจริงหลายอย่าง เป็นความจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ลองปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าถูกจริตและเป็นจริงอย่างที่หลวงปู่เทศน์ จึงอยากนำคลิปเสียงของหลวงปู่มาบันทึกไว้ และถอดคำสอนมาเพื่อที่ว่าเป็นการทวนความจำความรู้ของตัวเอง และอาจเป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจด้วย

ภาพจากเพจหลวงปู่เจือ สุภโร

ธรรมจากหลวงปู่เจือ สุภโร เรื่องการทำสมาธิ ท้องฟ้า แผ่นดิน



จะสอนให้ทำสมาธิ ให้ทดลองดู ทุกคนตั้งใจให้รู้สติที่กายของเราเอง ให้นึกว่าจิตอยู่ท่ามกลางอก นึกว่ายังไงก็รู้ไปถึงนั่น แต่จิตอยู่ท่ามกลางอก เราจะนึกไปเชียงใหม่ ลำปางค์ ที่ไหนก็ตาม แต่ใจของเราไปได้ไปที่เชียงใหม่ที่ลำปางค์ที่เรานึกนั่นหรอก ความรู้ของจิตเราไป จิตของเราอยู่ที่ท่ามกลางอกเรานี่ นี้เรานึกถึงท้องฟ้า อันนี้เป็นกสิณ เอาท้องฟ้าเป็นดวงกสิณ เรานึกถึงภาพท้องฟ้า จิตอยู่ท่ามกลางอก ถ้าเรานึกเห็นภาพท้องฟ้าได้ เห็นตามความจำนะ แต่บางคนก็สามารถเห็นเหมือนเห็นด้วยตาได้นะ ถ้ายังไม่เห็นเหมือนเห็นด้วยตา เราเห็นตามความจำ รู้สึกเห็นท้องฟ้าคลุมโลกอยู่นู่น และเรานั่งอยู่ที่โลกนี่ จิตอยู่ท่ามกลางอกนี่ ความรู้ของจิตเราแผ่ไปเต็มท้องฟ้าเต็มแผ่นดิน นี่สมาธิของเราเกิดแล้ว

สมาธิ สมาธิที่ท่านแปรว่า ความรักษาใจมั่นนั่นแปลผิด สมาธิมั่น นั่นเป็นวิเสสนะของสมาธิ มันไม่ใช่สมาธิ สมาธิแปลว่าตั้งอยู่หรือทรงอยู่ บางทีความรู้ของจิตทรงอยู่ที่อารมณ์ ชื่อว่าสมาธิ คือความรู้ของจิตมันรู้สิ่งอะไร สิ่งที่เรารู้นั่นเป็นอารมณ์แล้วความรู้ของจิตก็ไปตั้งอยู่ที่นั้น อาตมาพูดอยู่ตรงนี้ ทุกคนได้ยินเสียงพูดของอาตมา เสียงของทุกคนก็มาตั้งอยู่ที่ผู้ฟัง ผู้ที่ได้ยินทุกคน ก็ได้ยินเสียงอาตมาทุกคน ความรู้ของจิตก็มาตั้งอยู่ที่เสียงของอาตมานี่ เป็นสมาธิอยู่ที่อาตมานี่ ทีนี้ ฟังอาตมาพูดด้วย นึกเห็นท้องฟ้าด้วย เห็นท้องฟ้านั่นก็เป็นสมาธิ ได้ยินเสียงอาตมานี่ก็เป็นสมาธิ สมาธิแปลว่าตั้งอยู่ทรงอยู่ มั่นเป็นวิเสสนะของสมาธิ คือสมาธิมั่น สมาธิไม่มั่น เรานึกท้องว่าเห็นท้องฟ้าเฉยอยู่ เราไม่เห็นแต่เรารู้อยู่ เห็นท้องฟ้าเฉยอยู่อย่างนั้น  จิตเราอยู่นี่อยู่ท่ามกลางอก กายเรานั่งอยู่นี่อยู่บนโลกนี่ นั่งอยู่บนพื้นกระดานนี้แหละ ถ้าสมาธิของเราเบาลงหน่อยเราจะรู้สึกว่าเรานั่งอยู่กับดิน ไม่ได้นั่งอยู่บนศาลานี่หรอก มันเป็นยังงั้น พอสมาธิมันเริ่มละเอียดเข้าไปก็นึกว่าเรานั่งอยู่บนดิน หลังคาหลังเคอไม่มี โล่งไปถึงท้องฟ้า นี่อย่างนี้สมาธิอย่างนี้ และเรารู้สึกลมหายใจเข้าออกด้วย หายใจเข้ามันจะเข้ามากเข้าน้อยยังไง เรารู้สึกแผ่วๆเบาๆ เราไม่เอาใจไปลม เรามีสติรู้ลม พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เอาใจดูลม สอนว่าให้มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก นี่เราไปตั้งใจเอาใจดูลมเสีย มันเลยไปเก๊กทั่ว เก๊กจิต เก๊กใจ ทำให้เกิดความอึดอัด เพราะงั้นอาตมาเลยสอนให้ดูท้องฟ้าเสียก่อน เรียกว่าเอากสิณเข้าช่วยอานาปา

นึกถึงท้องฟ้าแล้วใจเราก็จะเบา โลภ โกรธ หลง ของเราก็เบาลง กายเราก็เบา ใจก็เบา เห็นท้องฟ้ากว้างออกๆ จนเห็นทั่ว ถึงขอบฟ้าจดดินรอบ ตรงศรีษะของเราก็เห็นอยู่ ตรงศรีษะเห็นขอบฟ้าจดดินรอบ แล้วก็เห็นแผ่นดินอีก เห็นแผ่นดินแต่ริมๆของฟ้าเรื่อยๆจนถึงที่เรานั่งอยู่นี่ ท้องฟ้าก็ไม่หาย แผ่นดินก็ไม่หาย เห็นมาถึงที่เรานั่งอยู่นี่ ก็นึกถึงหน้าผากของเรา เมื่อเห็นท้องฟ้าเห็นแผ่นดินได้ชัดเจนดีแล้ว แต่ถ้ายังเห็นไม่ชัด ยังเห็นไม่ได้นะ ยังเห็นหน้าตัวเองไม่ได้ ต้องดูท้องฟ้าให้ชัด เห็นแผ่นดินให้ชัดก่อน แล้วจึงเห็นหน้าผากตัวเองได้ เราเห็นหน้าผากได้แล้วเราก็ดูคิ้ว เปลือกตา ขนตา โพรงจมูก แก้ม คาง ใบหู เห็นได้อย่างนั้น ดูศรีษะก็เห็นผม ท้ายทอย บ่า ไหล่ หลัง เอว สะโพก ก้น มันไม่ได้ทำเร็วอย่างนี้หรอกนะ นี่พูดให้ฟัง บอกให้รู้วิธีทำก่อน แต่บางคนทำได้เดี๋ยวนี้แล้ว ทำได้ก่อนไปแล้ว อาตมายังไม่ทันพูดเขาก็ทำได้ก่อนไปแล้ว ที่เขาทำมาก่อนๆนั้น

เห็นกายเห็นลมหายใจเข้าออกทั่วกายเห็นทั่วหมด แต่พวกเรายังไม่เคยทำ พึ่งทำก็เห็นท้องฟ้าได้ทั่ว ถ้าใครเห็นได้ทั่วก็นับว่าเก่งพอสมควรทีเดียว ถ้าพอเห็นเป็นจุดเล็กๆก็ยังใช้ได้ ค่อยๆทำไปทุกวันๆ นึกเบาๆ สัมมาสมาธิเป็นสมาธิที่เบา กายเบา ใจเบา ไม่ใช่กด ไม่ใช่เก็ก ต้องใช้กำลังอำนาจอะไร กายเบา ใจเบา ทุกอย่างเบาหมด สัมมาสมาธิยิ่งละเอียดเท่าใด กายก็ยิ่งเบา ใจก็ยิ่งเบาเท่านั้น ลมหายใจก็เบาสะดวกดี นี่แหละ นี่ถ้ามันเห้นท้องฟ้าได้ทั่ว เห็นแผ่นดินได้ทั่ว เห็นกายได้ทั่ว ดูลมหายใจอีก ดูลมเต็มโลกเต็มท้องฟ้า เหมือนเห้นหมอกที่มันเต็มแผ่นดิน หายใจเข้า เราก็สูดเอาลมเข้าไปในรูจมูก ให้เป็นสายเข้าไป ลึกเข้าไปๆๆ ข้างในออกปลายนิ้วเท้า จากปลายนิ้วเท้าถึงรู้จมูก เห็นอยู่อย่างนั้น ได้อย่างนั้นก็อานาปานสติเกิดแล้วเรารักษานิมิตท้องฟ้า แผ่นดิน เอาไว้ อานาปานสติของเราก็จะเป้นไปได้ด้วยดี ถ้าเราปล่อยท้องฟ้าเสียปล่อยแผ่นดินเสียมาดูลม มันก็แคบไป สมาธิที่ดีจะต้องแผ่เต็มโลก เต็มท้องฟ้า

สมาธิแปลว่าตั้งอยู่ทรงอยู่ที่อารมณ์ เราเห็นท้องฟ้าเป็นอารมณ์ของเรา และท้องฟ้าที่เป็นอารมณ์นั่นแลมันเป็น เอกัตตารม เป็นอารมณ์เลิศ เราดูท้องฟ้าเฉยอยู่นั้น ทำให้ความโลภ โกรธ หลง ของเรา เสื่อมลงๆ เพราะงั้นท้องฟ้าจึงชื่อว่าเป็นอารมณ์เลิศ เอกัตตารม แปลว่ามีอารมณ์เป็นเลิศ ไม่ใช่แปลว่ารู้อารมณ์อันเดียว เราเห็นท้องฟ้าอยู่อย่างนี้ ความรู้ของจิตเราก็ไม่ส่ายไปทางโน้น ไม่ส่ายไปทางนี้ ความรู้ของจิตตั้งโด่อยู่ที่กายเรานี่ ตั้งโด่ไปจดท้องฟ้านู่น เห็นท้องฟ้าทั่วและก็เห็นแผ่นดินทั่วอีก จิตตั้งอยู่ที่ท่ามกลางอกนี่แต่มันเห็นท้องฟ้าทั่วเห็นแผ่นดินทั่ว เห็นลมด้วย ลมหายใจเข้ารู้จมูกก็เห็น ลมเข้าออกทั่วกายก็เห็น เห็นได้อย่างนั้น ทำต่อไป ปัญญามันก็จะเกิดขึ้น เกิดขึ้นๆ เดี๋ยวมันก็จะรู้จะเห็นว่ากายของเรานี่ โอ้ มันไม่ใช่ตนสักหน่อย มันเกิดจากดินน้ำลมไฟ ก็จะรู้จะเห็นขึ้นไปอย่างนั้น 

ไม่ต้องคิดไม่ต้องไปตรองมันหรอก มันเห็นขึ้นมาเอง ไม่ต้องไปคิดละ คิดปล่อย คิดวาง ไม่ต้อง ความโลภเกิดแล้ว ละ วาง นี่ไม่ต้อง มันไม่มีใครละได้ ความโลภเกิด ถ้าฌาญเรายังไม่เกิด เราก็ละความโลภไม่ได้ ถ้าฌาญเราเกิดแล้ว ความโลภเกิด ฌาญมันก็ทำให้ความโลภสงบลงได้ พอสงบลงได้แล้ว เราดูต่อไปมันเห็นชัด เราเห็นว่าโลภนี่ไม่ใช่จิตนะ โกรธ หลง ก็ไม่ใช่จิต โกรธเป็นกิเลส อวิชามันทำให้จิตเราหลง หลงว่าจิตเราโกรธ ที่แท้จิตเราไม่ได้โกรธ ความรักชังก็เป็นกิเลส เราหลงรักหลงชัง จิตมันไม่ได้รักชัง แต่ถูกอวิชาทำให้จิตหลง จิตไม่ได้รัก โกรธ มันหลงไปเท่านั้นเอง 

เราทำนิมิตรเห็นอยู่อย่างนี้ จนคล่องแคล่วดี จะนั่ง นอน เดิน ยืน จะอะไรเรารู้ เห็นท้องฟ้าอยู่ตลอดแผ่นดิน กาย ลม เห็นอยู่ตลอด เราก็จะดูกิเลสของเราได้ เราจะรู้ว่ากิเลสนี่ไม่ใช่จิต แล้วก็เห็นว่ามันเป็นทุกข์ด้วย เราจะเกิดความสงสัยว่าทำไมเราต้องเป็นทุกข์ด้วยล่ะ มันจะเห็นอุปาทานได้ เมื่อเราตั้งใจทำสมาธิอยู่อย่างนี้ ศีลเราบริสุทธิ์ดีแล้ว กายเราก็สบาย ใจก็สบาย นึกท้อฟ้าเบาๆ ความสบายก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ความโลภโกรธหลงที่อยู่ในสันดานก็จะเบาลงๆ บุญมันก็เกิด ใจเราก็สบายขึ้นๆ ปัญญามันก็เกิดอีกทีนี้ เราไม่ต้องไปตั้งใจ มันเกิดขึ้นของมันเอง นี่ไม่ใช่ตนไม่ใช่เรา มันรู้ขึ้นไปอย่างนั้น ถ้าเราทำอย่างนี้ไปเนืองๆ เราก็จะได้มรรคผลไปตามลำดับ ศีลบริสุทธ์ ทำสมาธิจนฌาญเกิด ธรรมก็จะเกิดขึ้น ปัญญาเราก็จะรู้เห็นขึ้นมา

จิตมีดวงเดียว ไม่เกิดไม่ดับ มีแต่ความรู้ของจิตที่เกิดๆ ดับๆ แต่จิตไม่เกิดไม่ดับ ทำสมาธิต้องมีสติที่กายทั่วกาย ที่จิตก็เบาที่กายก็เบา เบาหมด ถ้าทำอย่างนี้ไม่นานก็จะรู้กันล่ะ...

2 ความคิดเห็น: