วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Crystal Healing : หินบำบัด

ในยุคสมัยนี้เรื่องการใส่หินกำลังดังเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นดาราใส่หรือโฆษณาต่างๆเกี่ยวกับหินบำบัด หลายคนใส่ตามแฟชั่นเพื่อความสวยงาม หลายคนใส่เพราะอยากให้มีโชคลาภมีดวงเรื่องความรัก มีต่างๆนาๆ เรื่องของหินบำบัดมีมานานมากแล้วก่อนที่จะเริ่มโด่งดังเพราะการตลาด ทำให้มีหินปลอม หินย้อมสีออกมาขายกันเกลื่อนตลาด ในความจริงแล้วหินเราใส่เพื่ออะไร อยากให้รู้ความหมายจริงๆของการใส่หิน เลยขอแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องหินบำบัดที่เคยได้ศึกษาเรียนรู้มานานพอสมควร สิ่งต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้เรียนและพบเจอมากับตัวของผู้เขียนเองแล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน 

เริ่มจากแฟนเรามีความสนใจในเรื่องจักระและเรกิอยู่เป็นทุนเดิม แฟนเราหาข้อมูลและได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่งจึงขอสมัครไปเรียนกับอาจารย์ ท่านสอนเรื่องการรักษาจักระในร่างกาย การนั่งสมาธิและหินบำบัด ภายในเวลาสองเดือนแฟนเราก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นคนใจเย็นมากขึ้น จากขี้หลงขี้ลืมก็ลดน้อยลง เราสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเขาจริงๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดี เลยตัดสินใจขอตามไปเรียนด้วย

และก็ได้พบกับอาจารย์ ธอม ราสเซียนดะ สอน"เรกิ" พลังธรรมชาติ 
อาจารย์ท่านช่วยเปิดจักระให้เพื่อให้เราสามารถรับพลังได้ หลังจากนั้นก็ฝึกฝนกับตัวเองทุกวัน นั่งสมาธิ ทำเรกิรักษาให้ผู้อื่นบ้าง รักษาจักระตามร่างกายของตัวเองบ้าง การรักษาจักระต่างๆของร่างกายนั้นสำคัญมากก่อนที่จะโยงมาสู่เรื่องหินบำบัด ผู้สวมใส่หินควรรู้และศึกษาเรื่องจักระต่างๆในร่างกายด้วยเพื่อความเข้าใจที่ถ่องแท้ 




พลังจักรวาลและจักระทั้ง 7


ในร่างกายมนุษย์มีสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างพลังธรรมชาติ จิตวิญญาณและพลังเหนือธรรมชาติเข้าด้วยกันและอยู่ภายใต้อำนาจของสมาธิ เราเรียกสิ่งมหัศจรรย์นี้ว่า “จักระ (Chakra)”

จักระ (Chakra) เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “กงล้อ” ซึ่งเป็นลักษณะของลำแสงที่แผ่ออกมาเป็นวงคล้ายกลีบดอกบัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ลำแสงที่มีลักษณะคล้ายกลีบดอกบัวนี้จะหมุนอยู่ตลอดเวลาก่อให้เกิดสีสรรต่างๆเหมือนประกายไฟ มีสีที่ต่างกันออกไป จักระในร่างกายมี 7 จุด ผู้ที่ผ่านการกระตุ้นจักระและฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอจะทำให้จักระหมุนวนรับพลังจักรวาลที่อยู่รอบตัวเข้าสู่จักระทั้ง 7 และหากสามารถพัฒนาอำนาจจิตให้สูงขึ้นก็จะสามารถมองเห็นรูปร่าง แสง สี และการหมุนได้อย่างชัดเจน

จักระทั้ง 7 มีดังต่อไปนี้

จักระที่ 1 จักระราก (The Base Chakra)
ตั้งอยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต มีหน้าที่ดูดซับพลังคุนดาลินี (Kundalini = งูไฟ หรือ Serpent Fire) จากโลก โดยปกติแล้วจักระนี้จะไม่มีการกระตุ้นอย่างเด็ดขาดเพราะอันตรายต่อระบบการทำงานของร่างกาย สีที่สัมพันธ์คือ สีแดง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 1 คือ ทับทิม โกเมน

จักระที่ 2 จักระท้องน้อย (The Sacral Chakra)
ตั้งอยู่ที่ปลายกระดูกสันหลังใต้ก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศและความเชื่อมั่นในตนเอง มีหน้าที่กระจายพลังที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือต่อมสืบพันธุ์ (Gonads Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีส้ม อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 2 คือ โกเมนสีส้ม คาร์เนเลี่ยนสีส้มแดง

จักระที่ 3 จักระท้อง (The Solar Plexus Chakra)
ตั้งอยู่บริเวณสันหลังที่ตรงกับบั้นเอว มีความเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ผลิตโลหิต เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ดิบ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีเหลือง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 3 คือ บุษราคัม ซิทริน

จักระที่ 4 จักระหัวใจ (The Heart Chakra)
ตั้งอยู่กลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ เป็นศูนย์รวมของความรัก ความเมตตากรุณา ความเสียสละ การพัฒนาจิตใจ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไธมัส (Thymus Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีเขียว อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 4 คือ มรกต เพอริโด

จักระที่ 5 จักระคอ (The Throat Chakra)
ตั้งอยู่ตรงกระดูกต้นคอ เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีน้ำเงิน อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 5 คือ ไพลิน เทอร์ควอยซ์ ลาปิสลาซูลิ อะคัวมารีน

จักระที่ 6 จักระตาที่สาม (The Third Eye Chakra)
ตั้งอยู่กลางหน้าผาก เป็นจักระที่เปรียบเหมือนดวงตาของปัญญา เป็นจุดกำเนิดของญาณหยั่งรู้ เป็นตาที่ 3 เป็นพาหนะแห่งญาณวิเศษสำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีคราม อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 6 คือ อะมีธีสต์สีม่วงคราม โซดาไลต์

จักระที่ 7 จักระกลางกระหม่อม (The Crown Chakra)
ตั้งอยู่กลางกระหม่อม เปรียบเป็นมงกุฎดอกบัว เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในร่างกาย เป็นสถานที่รับพลังแห่งจักรวาลและกระจายไปทั่วร่างกาย ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมเม็ดสน (Pineal Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีม่วง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 7 คือ อะมีธีสต์

รายละเอียดเรื่องจักระจาก: http://www.luangputo.com/forum/index.php?topic=90.0


มาถึงตรงนี้อาจทำให้เข้าใจเรื่องสีของหินสัมพันธ์กับจักระอย่างไรบ้างแล้ว แต่คงยังสงสัยอีกว่า "หินบำบัดจักระได้จริงเหรอ อย่างไร?" ขออธิบายในเชิงวิทยาศาสต์ดังนี้ว่า อะตอมหน่วยที่เล็กที่สุดเปลี่ยนเป็นพลังงานโดยการสั่นสะเทือนในมวลสาร หินเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานธรรมชาติชั้นดี หินหลายชนิดถูกหล่อหลอมเกิดจากการรวมกันจากแร่ธาตุแต่ละชนิดทำให้เกิดสีที่แตกต่างกัน มาเป็นเวลาหลายล้านปี ถึงเกิดเป็นผลึกสีสรรสวยงามอย่างที่เราเห็นกัน หินสามารถถ่ายเทพลังงานให้สิ่งรอบข้างได้ และเมื่อเรานำหินนั้นสวมใส่ พลังงานก็จะถ่ายเทมายังตัวเรานั่นเอง

ในตอนที่บำบัดรักษานั้นเราจะให้ผู้ที่รับการรักษานอนราบ และรักษาโดยมีการนำหินมาวางตามจุดจักระต่างๆในร่างกาย ก่อนนำหินวางลง จะยกหินมาล้าง อาจล้างด้วยน้ำเปล่าหรือล้างด้วยจิตก็ได้ อธิฐานขอให้หินนั้นใสสะอาดบริสุทธิ์ แล้วจึงค่อยๆนำมาวางบนร่างกายจนครบทุกจักระ ปล่อยเวลาทิ้งไว้สักครู่ให้หินได้ทำกระบวนการของมันและก่อนที่จะเก็บหินออก ต้องมีการล้างหินให้สะอาดเหมือนครั้งแรกด้วยเช่นกัน



       

นอกจากนี้ในทางของจิตวิญญาณยังต้องมีการโปรแกรพลังให้เข้าไปในหินผ่านผลึกหินต่างๆ นำหินไปอาบแสงอาทิตย์ อาบแสงจันทร์ โดยเฉพาะพระจันทร์ในวันเพ็ญ พร้อมทั้งสวดมนต์เพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ให้แก่หิน หากทำเป็นประจำและลองสัมผัสพลังที่ละเอียดอ่อน จะสังเกตุเห็นหินนั้นใสขึ้น ใสที่ว่านี้คือใสในพลังจิต พลังสัมผัสอันละเอียดอ่อน หินจะช่วยเรารักษาสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามแต่ที่ตำราหลายสาขาบอกหรือไม่นั้น สิ่งสำคัญที่ผู้สวมใส่ควรกระทำคือการล้างพลังให้หิน

การบำบัดรักษาแบบนี้ต้องใช้เวลาและความตั้งใจจริงในการปฏิบัติ ผู้เขียนไม่ได้ให้เชื่อในสิ่งที่บอก หากแต่อยากให้มาลองรับการรักษาด้วยตัวเอง ใช้ประสบการณ์พิจารณาจะดีกว่าและผู้เขียนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รักษาให้แก่ผู้ที่สนใจ 



"การใช้หินบำบัดไม่เพียงแต่ให้หินรักษาเราเพียงอย่างเดียว ตัวเราเองต้องรู้จักฝึกฝนสมาธิด้วยเช่นเดียวกัน เพราะหินก็เป็นเพียงสิ่งภายนอกที่เรานำมาช่วยรักษา แต่สิ่งที่รักษาเราได้ดีที่สุดคือตัวเราเอง จิตใจของเราเอง พลังของจิตวิญญาณไม่ยากเลย หากลองเริ่มต้นฝึกฝน เราจะค่อบๆพบกับความสงบสุขแบบธรรมชาติโดยไม่ต้องแต่งเติมอะไรอีกเลย"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น