วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เขาช้างเผือก วัดใจ : กาญจนบุรี

เขาช้างเผือก วัดใจ ได้ยินแค่นี้ก็อยากรู้ว่าวัดใจขนาดไหน เมื่อสองปีที่ผ่านมาเห็นรีวิวที่นี่ในหลายเว็ป และพี่ฮูกนักเขียนหนังสือท่องเที่ยวชื่อดังยังส่งกระทู้รีวิวให้อ่าน แค่เห็นครั้งแรกก็ประทับใจมาก มีสถานที่แบบนี้ในประเทศไทยด้วยเหรอ คิดไว้ในในว่าฉันจะต้องไปดูกับตาตัวเองให้ได้ และที่นี่จึงเป็นทริปเริ่มต้นแบกเป้เที่ยว ของคนที่ไม่เคยเที่ยวป่าเที่ยวเขาแบบฉัน

เรียกได้ว่าเป็นน้องใหม่ไม่รู้ต้องเตรียมตัวยังไงเลยตัดสินใจไปกับทัวร์ของ TKT (Trekking Thai) นั่นเอง
มิตรภาพใหม่จึงได้เกิดขึ้น จากการเดินทางใหม่ จากคนที่ชอบอะไรเหมือนกันและบังเอิญได้เจอกัน คุยกันเหมือนรู้จักกันมานาน และสุดท้ายก็กลายเป็นแกงค์ขาลุย สัมผัสความงามของธรรมชาติจากวิวมุมสูงและหลงรักจนต้องไปอีก

หากใครที่กลัวความสูง แนะนำให้ไปประลองความกล้าที่นี่ได้เลย


















ขอเริ่มต้นด้วยแผนที่แสดงลักษณะภูมิประเทศของเขาช้างเผือกทางด้านซ้าย ด้านขวาอีกที่ในแผนที่คือ"ลำคลองงู"สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามแห่งหนึ่งของกาญจนบุรีเช่นกัน ซึ่งจะเขียนต่อไปในตอนหน้า

"เขาช้างเผือก" ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โดยเส้นทางการเดินทางต้องลัดเลาะผ่านผืนป่าขึ้นสุ่เทือกเขาสูงปลายทางของการเดินทางคือบ้านอีต่อง จุดบรรจบของชายแดนไทย-พม่า ซึ่งที่แห่งนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางสู่เขาช้างเผือกนั่นเอง

















การเดินทางครั้งนี้เป็นแบบ 3 วัน 2 คืน เสาร์อาทิตย์ โดยไม่กินเวลาวันธรรมดามนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆที่หาวันหยุดยากค่ะ โดยเดินทางออกจาก กทม ในช่วงเย็นวันศุกร์ ถ้าจะพักเอาแรงก็นอนกันบนรถจนเช้าเดินทางไปถึงจุดเริ่มต้นที่บ้านอีต่องเวลาตีห้ากว่าๆเป็นเวลาไก่ขัน บรรยากาศหนาวเย็นและเงียบสงบมากๆเลยค่ะ






















เราก็จัดการเช็คสัมภาระและแต่งตัว กินข้าวที่ร้านน้องหน่อย หากใครที่คิดจะอาบน้ำให้เริ่มเสียแต่ที่นี่ เพราะข้างบนนั้นไม่มีน้ำ






























ในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่อุทยานและลูกหาบเป็นคนนำทางก็ได้มีเวลาเดินเล่นสำรวจบริเวณหมู่บ้าน พูดคุยทำความรู้จักกับพี่ๆภายในทริปและไกค์ของเรา ซึ่งต่างก็สนิทกันอย่างรวดเร็วเหมือนรู้จักกันมานานยังงั้น


















อากาศเช้าๆระหว่างเดินทางโดนเดินผ่านทางหมู่บ้านอีต่องลัดเลาะไปตามตีนเขาและจะพบกับทางเดินขึ้นเขาช้างเผือก ระหว่างทางพบเห็นน้ำค้างเกาะบนยอดหญ้าต้องแสงแดด สวยงามมาก ต้องเก็บภาพไว้สักหน่อย นี่แค่เริ่มต้นก็ประทับใจแล้วนะคะ



















ระหว่างเริ่มเดินทางผ่านป่าแดงไม่รกมากและยังมีร่มเงาของต้นไม้อยู่ แดดอ่อนๆ ถือว่าอากาศยังเย็นสบาย


















ระหว่างทางเริ่มไม่มีต้นไม้ มีแต่หญ้าสูงๆสองข้างทางเดิน




























เอาแต่ก้มหน้าปีนเขา ฮึบๆ หันหลังกลับไปพบว่าวิวข้างหลังสวยมาก ขาขึ้นหากไม่สังเกตอาจมองไม่เห็น แต่ขากลับรับรองว่าต้องเห็นแน่นอน

















เดินบนไหล่เขาทำให้มองเห็นวิวได้รอบทิศสามร้อยหกสิบองศา มีหมอกลอยเหนือภูเขาทั้งที่แดดก็ยังร้อนแรง เป็นภาพที่น่าชม สวยงามมาก
















ลูกหาบเดินตามมาทีหลังแต่แซงหน้าไปแล้วค่ะ












หนุ่มๆในทริป









ทั้งภูเขามีแต่หญ้าและต้นไม้เป็นหย่อมๆเท่านั้น เมืองกาญจนบุรีขึ้นชื่อว่าเป็นเขตเงาฝน โดยมีเทือกเขาสูงบดบังฝนที่โปรยจากทะเลจึงทำให้เขาบริเวณนี้มีแต่หญ้าเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งถ้าไปช่วงนี้จะเห็นทุ่งหญ้าเป็นสีทอง บางคนเรียกว่าทุ่งหญ้าสะวันน่าของไทยเลยทีเดียว



















เดินขึ้นๆลงๆ ส่วนใหญ่เป็นหญ้าสูงสีเขียวทองปนกันไปตลอดทาง


















ระยะทางผ่านเนินแล้วเนินเล่า หาต้นไม้ให้ร่มเงาดับร้อนนั้นยากมาก มีร่มพอให้ได้หยุดพักบ้างป่ะปราย จุดนี้เป็นจุดพักจุดหนึ่งของนักเดินทางหลายคน เพราะเป็นลานกว้างและมีต้นไม้ให้ร่มเงา และผ่านจุดนี้ไปก็เขาสู่ขึ้นเนินเขาหัวโล้นที่มีแต่ทุ่งหญ้าตลอดทาง เดินสู้แดดยามเที่ยงกับความร้อนระอุ อาจต้องมีการเตรียมตัวแต่เนิ่นด้วยอุปกรณ์กันแดดทั้งหลาย หมวก เสื้อแขนยาว เพื่อป้องกันแสงแดด แต่บอกได้เลยว่าถึงตอนนี้ก็เหงือเต็มตัวเหมือนอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว




















หลังจากพักเอาแรงก็เดินทางกันต่อ
ต่อจากจุดพักต้องเดินตามไหล่เขาขึ้นไปเรื่อยๆสุดแล้วแต่กำลังขาของใครจะมี สองข้างทางเป็นเหวลึกชันลงไปกว่า 45 องศา หากมีการลื่นล้มนั้นอาจได้นอนกลิ้งลงเขาทีเดียวค่ะ แต่เจ้าหน้าที่เล่าว่ายังไม่เคยมีนักท่องเที่ยวคนไหนตกเขานะคะ = = ทุ่งหญ้าสีทองไม่ว่าถ่ายภาพมุมไหนก็สวยไปหมด แค่ครึ่งทางก็คุ้มค่ากับการมาเยือน




















ระหว่างทางที่เดินไปจุดตั้งแคมป์ของเรา วิวสองข้างทางมองจากมุมสูง "ยิ่งมองสูง ยิ่งเห็นไกล" ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็สวยไปหมด ทางเดินส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่ยอดเนิน ขวาก็เหว ซ้ายก็เหว ต้องใช้ความระวังในการเดินสักหน่อย






















ยังคงเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ขึ้นๆลงๆ แวะพักตามทางที่มีต้นไม้ให้ร่มเงาได้บ้าง































พอได้หยุดพัก หันหลังกลับไปก็ได้เห็นวิวสวยๆกัน


จากจุดตรงนี้เริ่มมองเห็นแคมป์ที่พักของเราแต่ไกลๆ

แคมป์ที่พักจากเลนท์ซูมนะคะ แต่ระยะจากที่ถ่ายนี่ยังอีกไกลมาก เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นๆไปถึงก่อนแล้วกางเตนท์จับจองพื้นที่ แต่ยังไม่เยอะมาก ถือว่าคนยังน้อยยู่ เห็นหลังคาห้องน้ำห่างจากที่พักเล็กๆด้วยนะคะ ข้างบนนั้นไม่มีน้ำให้ใช้ ทุกคนต้องแบกน้ำขึ้นไปเองและแน่นอนไม่ได้อาบน้ำกันทุกคน มากที่สุดก็ล้างหน้าเช็ดตัวกันเท่านั้น


 ยังคงต้องเดินอีกหลายเนินกว่าจะถึงแคมป์ที่พัก































ที่นี่ได้ชื่อว่าเขาช้างเผือกเพราะหากเราลองมองเขาจากระยะไกล จะเห็นเขามีลักษณะคล้ายช้างเผือกค่ะ แต่ดูยังไงต้องใช้จินตนาการกันหน่อย




จากตรงนี้สามารถมองเห็นทั้งแคมป์ที่พัก เลยไปเป็นสันคมมีดและเลยสันคมมีดไปเป็นยอดเขาช้าเผือก


เห็นธงปักอยู่ที่ยอดแต่ไกลๆ

















ตรงบริเวณที่มีเชือกผูกช่วยในการไต่นั่นแหละเรียก "สันคมมีด" เป็นจุดที่หวาดเสียวที่สุดของเขาช้างเผือก


ทักทายเพื่อนร่วมทางที่บังเอิญเจอกัน


เรายังคงต้องปีนอีกหลายเนิน หลังจากเห็นแคมป์ที่พักและยอดเขาแต่ไกลๆ ทำให้มีกำลังเดินต่อไป


















ยังไหว สู้ตายครัมผม!


จากเนินนี้ลงไปก็เข้าสู้แคมป์ที่พักแล้ว





































มองเห็นแคมป์ที่พักแล้วค่ะ










ในที่สุดก็ถึงแคมป์ที่พักของเราในเวลาบ่ายคล้อยนิดๆ

















จัดการกลางเตนท์จับจองพื้นที่ พักผ่อนเอาแรง เพื่อตอนเย็นต้องเดินต่อไปยังยอดเขาช้างเผือกถัดไปอีก โดยทางผ่านต้องผ่านสันคมมีด คือสันเขาที่แคบที่สุด อันตรายที่สุด ขึ้นชื่อของที่นี่


หลังจากเก็บสัมภาระและพักเอาแรงภายในแคมป์ที่พัก รอเวลาให้แดดคล้อยเย็นก็เริ่มเดินทางต่อไปยังยอดเขาช้างเผือก โดยต้องผ่านสันคมมีด ที่หวาดเสียวที่สุดก่อน




ขึ้นเนินมามองกลับไปจะเห็นแคมป์ที่พักของเรา ท้องฟ้าช่วงนี้มีเค้าว่าฝนจะตก ท้องฟ้ามีเมฆหมอกเต็มพื้นที่ ต้องรีบเดินค่ะเพราะหากฝนตกอาจลำบากและเกิดอันตรายได้




เริ่มเห็นทางไม่มีทางโล่งให้เดินแล้ว มีแต่ก่อนหินใหญ่ๆที่ต้องปีนข้ามไปข้างหน้า




ทางแคบลงเรื่อยๆ ซ้ายก็เหว ขวาก็เหว ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดิน

















และแล้วก็มาถึง "สันคมมีด" สันเขาที่แคบที่สุด หวาดเสียวที่สุด ปีนผ่านได้ไปครั้งละคนเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำเชือกไว้ช่วยในการปีน ป้องกันอันตรายค่ะ






สันคมมีด


















ผ่านสันคมมีดมาแล้วก็เดินต่อไปยังยอดเขา




ทางเดินแคบลงและต้องไต่ขึ้นเนินไปเรื่อยๆ




เนินสุดท้ายก็จะถึงยอดแล้วค่ะ

















วิวจากบนเนินสุดท้ายนี่ มันสวยสุดๆไปเลยนะคะ





























เย่! ในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขาช้างเผือกตอนนี้สามารถพูดได้แล้วว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณคือผู้พิชิตเขาช้าเผือก" ยอดเขาช้างเผือก สูงจากระดับน้ำทะเล 1249 เมตร อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ น้องหมาสีขาวที่เห็นนี่เจ้าหน้าที่บอกว่าขึ้นลงเขาช้างเผือกกับหมู่บ้านอีต่องร่วมกับนักท่องเที่ยวทุกทริปค่ะ อึดจริงๆ เราเรียกว่า เจ้าหมาภูเขา ขอบคุณภาพจากพี่บอยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


จากบนยอดมองชมวิวทิวทัศน์ได้รอบทุกทิศทาง ด้านหนึ่งเป็นเขาเนินที่เราพึ่งปีนผ่านมา บรรยากาศยามเย็นสวยงามมาก


















อีกด้านหนึ่งเป็นวิวของอ่างเก็บน้ำไกลสุดลูกหูลูกตา  ข้อดีของที่นี่คือเป็นภูเขาหัวโล้น ไม่มีต้นไม้มาบดบังทัศนียภาพ ทำให้สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศเลยทีเดียว

นั่งชมวิวและบันทึกภาพอยู่นานเกือบชั่วโมงก็ได้เวลากลับยังที่พัก คือที่แคมป์แรกที่เราวางสัมภาระนั่นเองค่ะ ต้องกลับทางเดิม




































ระหว่างทางกลับ มุมมองหวาดเสียวยิ่งกว่าขามาอีกค่ะ


















ใกล้พระอาทิตย์ตกบรรยากาศเย็น ลมพัดสบายแต่ก็ต้องรีบลงจากเขาด้วยเหมือนกัน หากมีดแล้วจะมองเห็นทางเดินลำบาก

หลังจากลงเขาถึงแคมป์ที่พักเรียบร้อยแล้วก็พักผ่อน ช่วยกันทำอาหารเย็นที่แคมป์กลางของเรา จนค่ำก็เล่าเรื่องประวัติของแต่ละคนทำความรู้จักกัน ถึงพึ่งรู้จักกันได้ไม่นานแต่ก็คุยกันเหมือนรู้จักกันมานานหลายปีทีเดียว มีทั้งเรื่องเล่า เรื่องตลกให้ได้ขำขัน เป็นช่วงเวลาที่เราลืมชีวิตการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนเข้ามาอีกโลกใหม่ ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เพื่อนใหม่


















สวัสดียามเช้าที่เขาช้างเผือกค่ะ พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ท้องฟ้าเปลี่ยนสี หมอกจางๆลอยผ่านตัวไปตลอด อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย










หลังจากเก็บสัมภาระก็เตรียมตัวเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านอีต่อง หมอกปกคลุมพื้นที่อย่างหนาแน่น


 เริ่มออกเดินทางกลับ แบบนี้เขาเรียกว่า พรางตัวในหมอก
































ระหว่างทางเดินอย่างเดียว ถ่ายภาพน้อยมาก และในที่สุดก็ลงมาถึงจุดเริ่มต้น ขอเก็บภาพสักหน่อย ขาขึ้นไม่ได้เก็บ

หลังจากกลับลงมาถึงหมู่บ้านอีต่องในเวลาเกือบเที่ยงก็จัดการอาบน้ำล้างตัวจากที่สะสมมาสองวัน เก็บสัมภาระขึ้นรถและเดินเที่ยวเล่นในหมู้บ้านค่ะ







ไปเที่ยวที่ไหนสิ่งที่ไม่เคยลืมคือส่งโปสการ์ดให้เพื่อน



มีร้านกาแฟสด ขายของที่ระลึกมากมายค่ะ และสุดท้ายเราก็เตรียมไปรับใบประกาศที่ในอุทยานทองผาภูมิ เขาแจกให้แก่ยักท่องเที่ยวที่พิชิตยอดเขาได้ค่ะ โดยในอุทยานมีเจ้านกเงือกหนึ่งตัว ที่เจ้าหน้าที่เลี้ยงไว้ ชื่อแจ๋วแว๋ว สาเหตุที่มาคือเจ้าหน้าที่ได้ช่วยชีวิตเจ้านกเงือกตัวนี้มาจากการลักลอบนำไปขาย โดยนกได้รับบาดเจ็บแล้วเก็บมาดูแลที่อุทยานจนเจ้านกเงือกสนิทสนมกับเจ้าน้าที่ที่นี่ ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ แต่เขาก็ยังอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน แสนรู้มากๆเลยค่ะ






















และสุดท้ายนี้ "ครั้งหนึ่งในชีวิต คุณคือผู้พิชิตเขาช้างเผือก"

สำหรับใครที่สนใจเที่ยวเขาช้างเผือก ทางอุทยานเปิดให้เข้าได้ในช่วงเดือน พ.ย. ถึง ม.ค. เท่านั้น เพราะเนื่องจากการท่องเที่ยวได้โปรโมทที่นี่ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากล้นที่ตั้งแคมป์และได้ทำลายธรรมชาติเสียไปมากค่ะ ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องการฟื้นฟูโดยเปิดให้ขึ้นแค่ช่วงนี้เท่านั้น หากใครที่สนใจไปเที่ยวที่นี่ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ให้ช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติด้วยนะคะ ให้สถานที่สวยๆในประเทศไทยยังคงอยู่ต่อไป

ขอบพระคุณที่เลื่อนมาจนถึงตรงนี้

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดี