วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

ชีวิตงามตามธรรมชาติ


พอมีเวลาว่างก็มานั่งคิดทบทวน ชีวิตเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง เรื่องราวชีวิตให้เอามาเขียนนิยายน้ำเน่าคงได้หลายเล่มทีเดียว...

เมื่อก่อนสมัยเด็กตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวเราอาศัยอยู่ในบ้านเช่าไม้เก่าๆเล็กๆ พ่อแม่เป็นครู เริ่มชีวิตมาจากไม่มีอะไรเลย เคยทำสวนเคยรับส่งขายหนังสือเรียน ขยันทำงานสู้กันมา แต่เรายังเด็กยังไม่เห็นความลำบากของพ่อแม่ แต่ก็ช่วยงานบ้านทุกอย่าง คลุกคลีอยู่กับธรรมชาติ เล่นดินเล่นทราย ความรู้สึกตอนนั้นมีความสุขนะ และสนุกสนานกับการอยู่กับธรรมชาติ พอครอบครัวเริ่มมีฐานะ พ่อเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน แม่เป็นอาจารย์สามระดับสูงขึ้น มีรถ ซื้อบ้านใหม่เป็นของตัวเอง เริ่มมีหน้าตาทางสังคม รายได้หลักก็มาจากพ่อแม่ ส่งให้เรียนหนังสือ ย้ายโรงเรียนประถมถึงสามครั้ง เพื่อเข้าโรงเรียนดังและมีชื่อในจังหวัด สมัยประถมเราเรียนจนได้รับโควต้าให้เข้ามัธยมฟรีของโรงเรียนประจำจังหวัด มัธยมชีวิตมีแต่เรียนหนังสือ เรียนพิเศษ ไม่ใช่เด็กกิจกรรมแทบไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆเลย เพราะเราบ้านอยู่ไกลตัวเมือง ต้องตื่นนอนแต่ตีห้าทุกวันเพื่อไปรอรถทัวร์นั่งไปเรียนในตัวจังหวัด เลิกเรียนก็รีบกลับบ้าน กลับมาถึงทำการบ้านทำงานบ้าน ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน ชีวิตอยู่กับกฏเกณฑ์ที่บ้านมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำทุกอย่างให้ได้ดั่งใจพ่อกับแม่ อยากได้อะไรต้องแลกมาด้วยเกรดเฉลี่ย จนมัธยมต้นทำเกรดเข้าห้องเด็กความสามารถ Super King ชื่อขำไหมล่ะ นอกจากมีห้อง King แล้ว เหนือ King ก็คือห้อง Super King ชีวิตช่วงนั้นจำได้ดีว่าเครียดและกดดันมาก ไม่กล้ามีแฟน ไม่กล้าทำอะไรที่พ่อแม่ไม่อนุญาต

มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต หลังจบมัธยมเป็นความกดดันของเด็กทุกคนที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ และแน่นอนเรารู้ตัวเองว่าเราชอบอะไร เราชอบศิลปะ ชอบธรรมชาติ ชอบอ่านหนังสือท่องเที่ยว ชอบสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตัวเองเรียนทุกวันนี้เลย รู้ตัวมาตลอด แต่ที่เรียนวิทย์คณิต เพื่อพ่อแม่เขาอยากให้เรียน และวันนั้นก็มาถึงคือวันที่พ่อกับแม่อยากให้เรียนหมอ แน่นอน จะมีอะไรไปได้สำหรับเด็กห้อง King นอกจากสายแพทย์ เราเข้าใจดีว่าพ่อแม่อยากให้ลูกมีอาชีพที่มั่นคง มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาเหมือนพ่อกับแม่ เราคิดอยู่หลายวัน จนในที่สุดตัดสินใจลงคณะที่เรารู้ข้อมูลมาว่าได้ท่องเที่ยว ได้ทำในสิ่งที่เราชอบและเงินเดือนเยอะกว่าหมอ ตอนเลือกคณะให้พ่อกับแม่ดูเราก็เลือกที่ตามใจท่านแต่เอาเข้าจริงๆก่อนประกาศผลหนึ่งวันเราแอบเปลี่ยนเป็นคณะที่เราอยากจะเข้า...พอวันประกาศผล เราได้คณะที่เราอยากจะเข้า คือคณะวิทยาศาสตร์สาขาธรณีวิทยา ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ่อกับแม่ก็ช็อคไปตามๆกัน นี่มันคณะอะไรกัน!

ในที่สุดเราก็ได้มาเรียนที่กรุงเทพ เด็กบ้านนอกเข้ากรุงใหม่ๆไม่รู้จักใครเลยไม่มีญาตไม่มีเพื่อน พ่อแม่ขับรถมาส่งมอบตัวก็ไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เข้ามาอยู่กรุงเทพแรกๆลำบากมากด้วยความที่เราเป็นเด็กบ้านนอก แต่ก็เอาชีวิตรอดปลอดภัยมาได้ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและห่างไกลพ่อแม่เป็นอะไรที่ท้าทายเรามาก ต่อไปนี้เราจะเป็นนายตัวเอง ตัดสินใจเอง คิดเองทำเองแล้ว

มหาวิทยาลัยสอนอะไรเยอะมาก เรากลายเป็นเด็กกิจกรรม ทำกิจกรรมเข้าค่ายมากมาย เข้าชมรมเล่นกีฬา พึ่งเข้าใจว่ามันสนุกแฮะ เริ่มรู้จักเที่ยว เที่ยวผับเที่ยวบาร์ตามเพื่อน ลองกินเหล้าเข้าสังคม ทำทุกอย่างที่สมัยมัธยมไม่เคยได้ทำ เริ่มมีสิ่งที่ต้องทำมากมายตามกระแสสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่โชคดีคือวิชาที่เราเรียนทำให้เราได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆมากมาย ดูหินดูแร่ ท่องไปทั่วประเทศเลยก็ว่าได้ ใช้ชีวิตออกภาคสนามกับเพื่อน ร่วมเป็นร่วมตายกันมาทุกเทอม รุ่นเรามีกันสามสิบกว่าคน ทำให้เพื่อนทุกคนสนิทกันและดูแลกันมาตลอด จนกระทั่งเรียนจบและหางานทำ

จุดเปลี่ยนของชีวิตต่อมาคือเข้าสู่สังคมการทำงาน เป็นโชคดีของเราอีกที่ได้งานตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปีสี่ หลังจบมาก็เข้าทำงานเลยที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ที่อยากเข้าตั้งแต่สมัยก่อนเลือกมหาลัย ในที่สุดเราก็ทำได้ แล้ววันนั้นก็เดินกลับไปบอกพ่อกับแม่ว่างานที่เราทำได้เงินเดือนเยอะกว่าหมอ... มันเป็นอีกอย่างที่พ่อแม่ก็เรียนรู้เพิ่มจากเราว่านอกจากสายอาชีพแพทย์ยังมีอาชีพอีกมากมายบนโลกที่ทำเงินได้เหมือนกัน

ชีวิตการทำงานแตกต่างจากมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เราก้าวเข้ามาสู่มหาวิทยาลัยชีวิต ไม่มีครูไม่มีอาจารย์ไม่มีเพื่อนสนิทอีกต่อไป ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง

หากลองหาหนังสือเรื่องการเงินมาอ่านคง นักธุรกิจคงได้หัวเราะและบอกนี่แหละชีวิตคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำทั่วไป ตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อออกมาเป็นลูกจ้าง ยังไม่มีอิสระทางการเงิน แต่กระนั้นก็ยังมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำเพราะทำในสิ่งที่ชอบ แต่ไม่ใช่ว่าความคิดเราหยุดที่ตรงนี้ ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจะทำ

การเปลี่ยนแปลงหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม...เป็นความบังเอิญที่ได้รู้จักอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านสอนวิชาพลังธรรมชาติให้เรา นำชีวิตกลับเข้าสู่ธรรมชาติอีกครั้ง ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกการหายใจ ออกกำลังกายและกินอาหารมังสวิรัต ฝึกกับอาจารย์กว่าหนึ่งปี และชีวิตก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ได้เจอกับพี่พี่ที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม เจอกับพี่พี่สายเส้นทางธรรม ชวนไปเข้าวัดทำบุญ ได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อและแม่ชีหลายครั้ง เข้าใจว่าทุกอย่างในชีวิตเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ ความดีทุกอย่างที่ทำเพื่ออะไร นับเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว ตัดสินใจรักษาศีลอย่างแน่วแน่ นั่งสมาธิทุกวัน ออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่ฝึกตัวเองมาตลอด 

การที่เราชอบเที่ยวไปในที่ต่างๆ นอนกลางดินกินกลางทราย บางวันไม่อาบน้ำ ไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ความสวยงามภายนอก ได้พบผู้คนที่ช่วยเหลือกันและจิตใจดีออกมาจากภายใน ชาวบ้านชาวป่าแสนสงบต่างจากชีวิตเมืองกรุงที่ไม่มีวันหลับไหล หากเราท่องเที่ยวและเข้าใจถึงแก่นแท้ เราจะเข้าใจธรรมชาติของชีวิตมากขึ้น คนเรามาจากธรรมชาติแม้จะอยู่ในเมืองศิวิไลแค่ไหนสุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ เพราะนี่คือธรรมชาติของมนุษย์

คนเราทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่ออะไรกัน หากสมมุติเราไม่มีเงินใช้แล้วเราจะใช้ชีวิตได้อย่างไร เพราะปัจจุบันปลูกฝังคุณค่าของเงินและชื่อเสียงหน้าตามากกว่าคุณค่าของคน เรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นและกิเลสทั้งหลายถึงได้เกิดขึ้นมา ข่าวฆ่าคนและคนผิดศีลเกิดขึ้นมากมาย ธรรมชาติสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ หากได้ลองไปสัมผัสอย่างถึงแก่นแล้วคุณอาจจะเปลี่ยนทัศนคติความคิดบางเรื่องไปเลยก็ได้

สิ่งที่รู้และเข้าใจตัวเองตอนนี้คือ เข้าใจธรรมชาติของคนเราและอารมณ์ของตนเอง ทำให้ไม่ว่าเจอเหตุการณ์อะไร ร้ายแรงแค่ไหนก็มักจะปล่อยวางและรับมือได้ โดยไม่ทุกข์กับมันมากนัก


"ชีวิตมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แม้ในช่วงเวลาสั้นนิดเดียว มันเป็นประสบการณ์ทำให้ตระหนักว่า ชีวิตควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมใจให้แกร่งให้แข็งแรง คิดให้ดี ทำให้ดี แล้วทุกวันนี้จะไม่มีคำว่ารู้สึกเสียดาย"

อัจฉโรบล

2 ความคิดเห็น: