วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

เขาหลวง คีรีวงศ์ นครศรีธรรมราช

ได้ยินคนพูดกันมากมายว่าป่าใต้นั้นเดินยาก ยากอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ไม่มีคำจัดกัดความที่ชัดเจน จนกระทั่งช่วงกลางปีพี่ๆได้ชวนไปเดินเขาหลวงที่นครศรีธรรมราช ก็ตอบรับไปในทันที ทั้งที่ไม่มีข้อมูลอะไรทั้งสิ้น แต่สิ่งที่พูดกันมากคือ "ทากเยอะ" ตั้งแต่เดินป่ามายังไม่เคยโดนทากกัดเลยสักครั้ง เลยไม่ได้กลัวอะไรมาก แพ็คกระเป๋าได้ก้ออกเดินทางเลย โดยเราใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ สามวันสองคืนเช่นเคยค่ะ



ครั้งแรกกับการเดินป่าใต้ เราเริ่มเพิ่มระดับความยากของการเดินป่าขึ้นเรื่อยๆ โดยการขึ้นเขาหลวงครั้งนี้ ขึ้นที่บ้านคีรีวงศ์ ไม่มีลูกหาบ เพราะเขาที่นี่ยังไม่ดังเท่าที่อื่นๆ ป่ายังดิบอยู่มาก ต้องอาศัยคนในพื้นที่ช่วยในการนำทาง ซึ่งเราได้ติดต่อ "พี่เล็ก" ชาวบ้านที่คีรีวงศ์ให้ช่วยนำทางให้ ตอนแรกนั้นยากหน่อยเพราะพี่เขาไม่ตอบตกลง ต้องให้พี่สิ สตาฟที่สนิทกับพี่เล็กมาคุยให้ค่ะ พี่เล็กเลยยอมตกลงนำทางให้ ซึ่งคนที่นี่ตามนิสัยคนใต้คือไม่ได้ต้องการเงินหรืออะไรทั้งสิ้น ผมพาคุณขึ้นด้วยใจ ใจแลกใจ 


เขาหลวงถือว่าเป็นเขาที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าเฟินโบราณและกล้วยไม้หายาก นานาชนิด ป่าผืนนี้ยังเป็นต้นน้ำของเขาหลวงยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้ของประเทศไทยอีกด้วยค่ะ

ป่าดิบชื้น ทาก ฝน หมอก ดอกไม้ ตระไคร่ น้ำตก มีครบ เป็นป่าที่พื้นไม่เคยแห้งเลย เดินป่าหน้าร้อนแต่มีหมอกและฝนทั้งวัน พี่เล็กยังเล่นมุขกับเราว่า "ป่าไม้ที่นี่เป็นป่าที่สุภาพ เพราะต้นไม้ใส่เสื้อผ้าทุกต้น" ดูได้จากตะไคร่ที่เกาะตามโคนต้นจนถึงยอดกันทีเดียวค่ะ

การเตรียมตัว

1. เครื่องแต่งกาย ควรเป็นกางเกงขายาวและไม่ควรเป็นยีนส์เพราะมักจะทำให้เสียดสีรู้สึกอึดอัด  เสื้อยืดแขนยาว แขนสั้น สีสันตามสะดวก รองเท้าหุ้มส้นมีดอกยางช่วยในการเกาะและมั่นคงเวลาก้าวเดิน 
2. กระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระ ควรมีแพ็คของใส่ถุงกันน้ำเพราะฝนอาจตกได้ตลอดเวลา ให้เตรียมพร้อมไว้ก่อน
3. สเปย์กันยุง สเปย์กันทาก ไฟฉาย 

4. เสื้อกันฝน

5 ถุงเท้ากันทาก

เราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพในคืนวันศุกร์ นอนพักผ่อนเอาแรงบนรถจนกระทั่งมาถึงบ้านพี่เล็กไกค์นำทางของเราในเวลาเช้า จัดการแบ่งกระเป๋าสำหรับใส่เสื้อผ้าอาบน้ำตอนขาลงและแพ็คสัมภาระใส่กระเป๋าเดินป่า โดยครั้งนี้เราต้องแบกของเอง ดังนั้นทั้งข้าวสารอาหารแห้งและเครื่องมือยังชีพต่างๆแบ่งกันแบกตามแต่กำลังของแต่ละคน โดยครั้งนี้เราตัดสินใจไม่นอนเตนท์แต่จะใช้เป็นเปลผูกกับต้นไม้นอนแทนเพื่อลดน้ำหนักในการแบกหาม นี่เป็นทริปแรกเลยก็ว่าได้ที่แบกของเองทั้งหมด หนักกว่าทุกทริปที่ผ่่านมา




เริ่มออกเดินทางจุดแรกจากบ้านพี่เล็กต้องนั่งรถมอเตอรืไซค์ไต่ขึ้นเขาไปยังเนินจุดเดินป่า สังเกตที่มอเตอร์ไซค์นะคะว่าไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ธรรมดา เพราะอะไรไปดูกัน













สังเกตว่าทางขึ้นเขานั้นแคบและชันมาก ขับสวนกันทีต้องหยุดให้รถสวนทางค่ะ มอเตอร์ไซค์พี่ๆแต่ละคนเป็นรถเครื่องแรงๆทั้งนั้น สำหรับไต่เขา ขวาก็เหวซ้ายก็เหว ขนาดนั่งซ้อนยังเสียวยิ่งกว่าเดินสันคมมีดอีกนะคะ


หลังจากถึงเนินเขาจุดเริ่มต้นเดินทาง เป็นเพลิงที่พักเล็กๆของสวนพี่เล็กเองค่ะ






























เริ่มต้นเดินทางขึ้นเขา ก็เห็นลักษณะป่าที่ชุ่มชื้นมาก ต้นไม้เขียวชอุ่มและที่พื้นใบไม้ร่วงมาทับถมอย่างหนาแน่น ถือได้ว่าทางเส้นนี้ไม่ค่อยได้ใช้สัญจรบ่อยนัก

หลังจากเดินกันมาได้เกือบชั่วโมงจะเห็นแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์มาก มีน้ำตกและทางน้ำไหลตลอดไปเป็นระยะ และจุดพักเหนื่อยจุดแรกของเราคือบริเวณทางน้ำ ป่าทั้งชื้นแฉะและเริ่มมีทากให้เห็นตามทางเดินตลอดเวลา ถือว่าเริ่มเข้าดงทากกันแล้ว





















จะว่าป่าที่นี่เดินสบายในเรื่องอากาศไม่ร้อน เย็นสบาย หายใจได้สะดวกสำหรับพี่ที่เป็นภูมิแพ้จะชอบมากค่ะ และที่สำคัญเราไม่ต้องแบกน้ำให้หนักเหมือนตอนขึ้นดอยหลวงเชียงดาวค่ะ เพราะที่นี่มีน้ำอุดมสมบูรณ์และใสสะอาดเรียกได้ว่าอยากดื่มน้ำเมื่อไหร่ก็เข้าหาแหล่งน้ำได้ทันที






หลังจากลำธารน้ำจุดแรกก็เจออีกมากมายหลายจุด น้ำใสสะอาด อุดมสมบูรณ์จริงๆค่ะ แล้วก็เดินกันต่อจนถึงที่พักจุดแรก ซึ่งไม่ไกลจากลำธารน้ำมากนัก




จัดการหาทำเลสำหรับผูกเปลนอนและกางฟลายชีทกันน้ำค้าง โดยการนอนครั้งนี้เราผูกเป็นแบบคอนโดคือต้นไม้หนึ่งคู่ต่อสองคน ผูกเปลบนล่าง พอตกดึกไม่นานอากาศเริ่มหนาวเย็นจับใจ น้ำค้างตกลงมาบนฟายชีทอย่างชัดเจน ซึ่งทริปครั้งนี้เรียกว่าต้องเปิดวิชาสอนการเดินป่าและใช้ชีวิตชาวป่าอย่างจริงจัง



























ช่วยกันทำอาหาร จุดไฟผิงให้อุ่นขึ้น หลังรับประทานอาหารก็ล้อมวงสนทนา เล่นมายากลโดยพี่มานะและเข้านอนไปตามระเบียบค่ะ






สวัสดีเช้าวันใหม่จากเขาหลวงค่ะ หลังจากตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันก็ช่วยกันทำอาหารเช้าและเก็บข้างของแพ็คเพื่อเดินป่าต่อไปยังจุดยอดสูงสุดค่ะ โดยเรื่องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึงนะคะ สุดแล้วแต่ใครอยากอาบก็เดินลงเขาไปที่ลำธารไม่ไกลนัก แต่สำหรับพวกเราบอกเลยดังๆ ไม่อาบ :D



หลังจากอิ่มท้องและเก็บข้าวของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็เริ่มเดินทางกันอีกครั้งเพื่อไปยังจุดตั้งแคมป์ที่สูงขึ้นมาอีก ใกล้กับยอดเขาหลวง



ค่อยๆปีนเขาขึ้นมาเรื่อยๆก็พบกับพืชพรรณที่แปลกตาขึ้น ทั้งมอส เฟิร์น และแมลงต่างๆ อย่างตัวนี้พี่บอกว่าเป็นหิ่งห้อยยุคอดีตค่ะ ชื่ออะไรก็ยังไม่มีใครทราบ





ตัวนี้ตะขาบออกมาจากรูดิน จริงๆแล้วมีทากยั๊วเยี๊ยะเต็มพื้นไปหมดเลยค่ะ แต่ถ่ายภาพไม่ทัน ไม่สามารถหยุดยืนอยู่กับที่เฉยๆได้ หยุดนานทากก็กระโดดเกาะในทันที ของสัมภาระก็ห้ามวางกับพื้นไม่เช่นนั้นทากอาจเกาะมาได้ค่ะ ดงทาก สมชื่อจริงๆ



พี่เล็กเล่าว่าเส้นขาวๆที่โยงตั้งแต่เนินเขามาเป็นสายสิญจ์ที่พี่ๆเขาช่วยกันโยงขึ้นมาบนภูเขาเพื่อทำพิธีเคารพป่าค่ะ จะเห็นได้ตลอดทางแต่บางจุดก็หายไป แล้วก็โผล่มาให้เห็นอีก


ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงที่ตั้งแคมป์ด้านบน ต้องรีบเข้าหากองไฟในทันทีเพราะฝนตกปอยๆตลอดทาง อากาศชื้นเย็นและเริ่มหนาว

หลังจากที่ช่วยกันวางสัมภาระที่จุดพักแคมป์ในคืนนี้เรียบร้อยเป็นเวลาบ่ายคล้อยนิดๆ เราก็เตรียมตัวเดินขึ้นไปยังยอดสูงสุดของเขาหลวงในทันที หนทางยังอีกยาวไกล




เส้นทางขึ้นเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ยังคงชื้นแฉะด้วยน้ำฝนและเมฆหมอกปลิวผ่านมาตลอดเวลาไม่ขาดสาย






พืชพรรณเริ่มดูโบราณเข้าไปทุกที มอสและเฟิร์นเกาะเต็มกิ่งก้านต้นไม้ และกล้วยไม้นานาพันธุ์




และแล้วเราก็มาถึงจุดสูงสุด จุดชมวิวจุดแรก มองลงไปด้านล่างเมฆหมอกหนามาก มองไม่เห็นอะไรเลย


จากจุดแคมป์ที่พักเดินขึ้นมาเรื่อยๆ สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าลักษณะของป่าเริ่มเปลี่ยนไป พืชพรรณเปลี่ยนไป เริ่มหนาแน่นมากขึ้นด้วยเมฆและหมอก



ในที่สุดเราก็ถึงยังจุดสุงสุดของยอดเขาหลวงค่ะ สูงจากระดับน้ำทะเล 1,835 เมตร


หลังจากถึงยอดแต่ต้นไม้ปกตลุมหนาแน่น ไม่สามารถมองออกไปดูวิวข้างนอกได้เลยค่ะ ต้องใช้วิธีปีนต้นไม้เพื่อมองหาวิว





 ไหว้พระขอให้เมฆหมอกหายไป ให้ลูกได้ดูวิวด้วยเทิด โอมเพี้ยง




ในที่สุดก็ได้ภาพนี้มา พอเห็นเขาฝั่งโน้นไกลๆ

 พี่เล็กชี้ให้ดูต้นบัวดิน ว่ากันว่าหาดูได้ยาก









กล้วยไม้มีมากมายตามต้นไม้ หลังจากพยายามชมวิวกันอยู่นานก็เดินทางลงกลับแคมป์ที่พัก แต่ก่อนกลับพี่มานะโชว์มายากลให้ดู 

สวัสดีเช้าวันสุดท้ายจากเขาหลวงค่ะ กลังจากเก็บสัมภาระเราก็เดินทางลงเขาทันที 










นั่งพักระหว่างทางจุดแคมป์วันแรก






 ระหว่างพักเที่ยงที่ลำธาร


ในระหว่างที่กำลังทานอาหารเที่ยงกันอย่างอร่อยก็หารุ้ไม่ว่ากำลังนั่งอยุ่กลางดงทาก โดนทากกัดเอาวันสุดท้ายคนละตัวสองตัวไปตามๆกัน







 และแล้วก็เดินออกมาถึงจุดแรกคือเพิงที่พักในสวน นั่งรอรถมอเตอร์ไซค์ขับไปส่งที่บ้านพี่เล็ก อาบน้ำและเก็บสัมภาระทุกอย่างขึ้นรถตู้ เตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพค่ะ
































ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ประทับใจมาก เริ่มตั้งแต่ได้เรียนรู้วิธีการเดินป่าแบบคนเดินทางจริงๆ สอนให้เรารู้จักเคารพผู้อื่น และในทริปนี้ยังได้มิตรภาพใหม่คือพี่เล็ก คีรีวงศ์ ไกค์นำทางพี่ชายของเรา พี่เล็กได้เล่าเรื่องหลายอย่างที่น่าทึ่งให้เราได้เปิดหูเปิดตากันมากเลยทีเดียว บ้านพี่เล็กมีสวนที่เปิดให้ชาวต่างชาติมาเข้าแคมป์อยู่อย่างวิถีชาวบ้านจริงๆได้ที่นี่ฟรี พาไปเดินป่าหาของป่า ทำสวนผลไม้ พี่เล็กสามารถพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ และเคยไปแบคแพ็คที่ต่างประเทศมาหลายประเทศแล้ว โอ้โหแค่ฟังประวัติก็ทึ่งกันแล้วล่ะค่ะ นอกจากจากอารมณ์ขันมีมุขให้เราได้หัวเราะตลอดทางยังสอนเรื่องพืชพรรณและการเดินป่าให้เราด้วย ถือเป็นโชคดีมากที่ได้รู้จักพี่ชายที่สุดยอดคนนึงค่ะ

ขอบคุณภาพบางส่วนจากกล้องพี่เอ๋และพี่น้ำค่ะ

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้
พบกันใหม่ทริปหน้า
สวัสดี

8 ความคิดเห็น:

  1. คำตอบ
    1. หวายย พึ่งเห็นว่าเจ้มาเมนท์น้อง

      ลบ
  2. เขียน เก่งมากเลยแอ๋ม ถ่ายรูปก็สวย

    ชอบๆๆ
    รวมเล่มสะทีเอิ้ว ซื้อหนึ่งเล่มเลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณค่าาา ...ว่าแต่ใครเอ่ย ^^

      ลบ
  3. มีเบอร์ติดต่อไหมครับ อยากจะไป กรุณาตอบด้วย ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  4. ใกล้จะได้ไปตามรอยแอ๋มแล้ว ชัชเอง

    ตอบลบ
  5. ผมเคยไปที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ชอบมากๆครับ เป็นทริปสั้นๆที่ประทับใจมาก 3 วัน 2 คืน กับการเที่ยว เขาหลวงเมืองนคร ได้ทั้งสัมผัสธรรมชาติ ตลอดจนบรรยากาศรอบตัว ที่พักก็ดี ผู้คนก็ัน่ารัก ตอนเดินป่า นี่ยิ่งสนุก ได้เก็บภาพสวยๆที่รับรอง กรุงเทพไม่มี กลิ่นของไม้หอมสุดๆ ผมชอบที่สุดคือ ธารน้ำตก ใสและเย็นมากๆ นครศรีตอนนี้ดีกว่าเดิมมาก ปีนี้ต้องไปอีกให้ได้

    ตอบลบ
  6. ภาพสวยเล่าเรื่องได้ น่าสนใจมากครับ

    ตอบลบ