ครั้งแรกกับการเดินป่าใต้ เราเริ่มเพิ่มระดับความยากของการเดินป่าขึ้น
เขาหลวงถือว่าเป็นเขาที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าเฟินโบราณและกล้วยไม้หายาก นานาชนิด ป่าผืนนี้ยังเป็นต้นน้ำของเขาหลวงยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้ของประเทศไทยอีกด้วยค่ะ
ป่าดิบชื้น ทาก ฝน หมอก ดอกไม้ ตระไคร่ น้ำตก มีครบ เป็นป่าที่พื้นไม่เคยแห้งเล
การเตรียมตัว
1. เครื่องแต่งกาย ควรเป็นกางเกงขายาวและไม่ควรเป็นยีนส์เพราะมักจะทำให้เสียดสีรู้สึกอึดอัด เสื้อยืดแขนยาว แขนสั้น สีสันตามสะดวก รองเท้าหุ้มส้นมีดอกยางช่วยในการเกาะและมั่นคงเวลาก้าวเดิน
2. กระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระ ควรมีแพ็คของใส่ถุงกันน้ำเพราะฝนอาจตกได้ตลอดเวลา ให้เตรียมพร้อมไว้ก่อน
3. สเปย์กันยุง สเปย์กันทาก ไฟฉาย
4. เสื้อกันฝน
5 ถุงเท้ากันทาก
เราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพในคืนวันศุกร์ นอนพักผ่อนเอาแรงบนรถจนกระทั่งมาถึงบ้านพี่เล็กไกค์นำทางของเราในเวลาเช้า จัดการแบ่งกระเป๋าสำหรับใส่เสื้อผ้าอาบน้ำตอนขาลงและแพ็คสัมภาระใส่กระเป๋าเดินป่า โดยครั้งนี้เราต้องแบกของเอง ดังนั้นทั้งข้าวสารอาหารแห้งและเครื่องมือยังชีพต่างๆแบ่งกันแบกตามแต่กำลังของแต่ละคน โดยครั้งนี้เราตัดสินใจไม่นอนเตนท์แต่จะใช้เป็นเปลผูกกับต้นไม้นอนแทนเพื่อลดน้ำหนักในการแบกหาม นี่เป็นทริปแรกเลยก็ว่าได้ที่แบกของเองทั้งหมด หนักกว่าทุกทริปที่ผ่่านมา
เริ่มออกเดินทางจุดแรกจากบ้านพี่เล็กต้องนั่งรถมอเตอรืไซค์ไต่ขึ้นเขาไปยังเนินจุดเดินป่า สังเกตที่มอเตอร์ไซค์นะคะว่าไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ธรรมดา เพราะอะไรไปดูกัน
สังเกตว่าทางขึ้นเขานั้นแคบและชันมาก ขับสวนกันทีต้องหยุดให้รถสวนทางค่ะ มอเตอร์ไซค์พี่ๆแต่ละคนเป็นรถเครื่องแรงๆทั้งนั้น สำหรับไต่เขา ขวาก็เหวซ้ายก็เหว ขนาดนั่งซ้อนยังเสียวยิ่งกว่าเดินสันคมมีดอีกนะคะ
เริ่มต้นเดินทางขึ้นเขา ก็เห็นลักษณะป่าที่ชุ่มชื้นมาก ต้นไม้เขียวชอุ่มและที่พื้นใบไม้ร่วงมาทับถมอย่างหนาแน่น ถือได้ว่าทางเส้นนี้ไม่ค่อยได้ใช้สัญจรบ่อยนัก
หลังจากเดินกันมาได้เกือบชั่วโมงจะเห็นแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์มาก มีน้ำตกและทางน้ำไหลตลอดไปเป็นระยะ และจุดพักเหนื่อยจุดแรกของเราคือบริเวณทางน้ำ ป่าทั้งชื้นแฉะและเริ่มมีทากให้เห็นตามทางเดินตลอดเวลา ถือว่าเริ่มเข้าดงทากกันแล้ว
จะว่าป่าที่นี่เดินสบายในเรื่องอากาศไม่ร้อน เย็นสบาย หายใจได้สะดวกสำหรับพี่ที่เป็นภูมิแพ้จะชอบมากค่ะ และที่สำคัญเราไม่ต้องแบกน้ำให้หนักเหมือนตอนขึ้นดอยหลวงเชียงดาวค่ะ เพราะที่นี่มีน้ำอุดมสมบูรณ์และใสสะอาดเรียกได้ว่าอยากดื่มน้ำเมื่อไหร่ก็เข้าหาแหล่งน้ำได้ทันที
หลังจากลำธารน้ำจุดแรกก็เจออีกมากมายหลายจุด น้ำใสสะอาด อุดมสมบูรณ์จริงๆค่ะ แล้วก็เดินกันต่อจนถึงที่พักจุดแรก ซึ่งไม่ไกลจากลำธารน้ำมากนัก
จัดการหาทำเลสำหรับผูกเปลนอนและกางฟลายชีทกันน้ำค้าง โดยการนอนครั้งนี้เราผูกเป็นแบบคอนโดคือต้นไม้หนึ่งคู่ต่อสองคน ผูกเปลบนล่าง พอตกดึกไม่นานอากาศเริ่มหนาวเย็นจับใจ น้ำค้างตกลงมาบนฟายชีทอย่างชัดเจน ซึ่งทริปครั้งนี้เรียกว่าต้องเปิดวิชาสอนการเดินป่าและใช้ชีวิตชาวป่าอย่างจริงจัง
ช่วยกันทำอาหาร จุดไฟผิงให้อุ่นขึ้น หลังรับประทานอาหารก็ล้อมวงสนทนา เล่นมายากลโดยพี่มานะและเข้านอนไปตามระเบียบค่ะ
สวัสดีเช้าวันใหม่จากเขาหลวงค่ะ หลังจากตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันก็ช่วยกันทำอาหารเช้าและเก็บข้างของแพ็คเพื่อเดินป่าต่อไปยังจุดยอดสูงสุดค่ะ โดยเรื่องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึงนะคะ สุดแล้วแต่ใครอยากอาบก็เดินลงเขาไปที่ลำธารไม่ไกลนัก แต่สำหรับพวกเราบอกเลยดังๆ ไม่อาบ :D
ค่อยๆปีนเขาขึ้นมาเรื่อยๆก็พบกับพืชพรรณที่แปลกตาขึ้น ทั้งมอส เฟิร์น และแมลงต่างๆ อย่างตัวนี้พี่บอกว่าเป็นหิ่งห้อยยุคอดีตค่ะ ชื่ออะไรก็ยังไม่มีใครทราบ
ตัวนี้ตะขาบออกมาจากรูดิน จริงๆแล้วมีทากยั๊วเยี๊ยะเต็มพื้นไปหมดเลยค่ะ แต่ถ่ายภาพไม่ทัน ไม่สามารถหยุดยืนอยู่กับที่เฉยๆได้ หยุดนานทากก็กระโดดเกาะในทันที ของสัมภาระก็ห้ามวางกับพื้นไม่เช่นนั้นทากอาจเกาะมาได้ค่ะ ดงทาก สมชื่อจริงๆ
พี่เล็กเล่าว่าเส้นขาวๆที่โยงตั้งแต่เนินเขามาเป็นสายสิญจ์ที่พี่ๆเขาช่วยกันโยงขึ้นมาบนภูเขาเพื่อทำพิธีเคารพป่าค่ะ จะเห็นได้ตลอดทางแต่บางจุดก็หายไป แล้วก็โผล่มาให้เห็นอีก
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงที่ตั้งแคมป์ด้านบน ต้องรีบเข้าหากองไฟในทันทีเพราะฝนตกปอยๆตลอดทาง อากาศชื้นเย็นและเริ่มหนาว
หลังจากที่ช่วยกันวางสัมภาระที่จุดพักแคมป์ในคืนนี้เรียบร้อยเป็นเวลาบ่ายคล้อยนิดๆ เราก็เตรียมตัวเดินขึ้นไปยังยอดสูงสุดของเขาหลวงในทันที หนทางยังอีกยาวไกล
เส้นทางขึ้นเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ยังคงชื้นแฉะด้วยน้ำฝนและเมฆหมอกปลิวผ่านมาตลอดเวลาไม่ขาดสาย
พืชพรรณเริ่มดูโบราณเข้าไปทุกที มอสและเฟิร์นเกาะเต็มกิ่งก้านต้นไม้ และกล้วยไม้นานาพันธุ์
และแล้วเราก็มาถึงจุดสูงสุด จุดชมวิวจุดแรก มองลงไปด้านล่างเมฆหมอกหนามาก มองไม่เห็นอะไรเลย
จากจุดแคมป์ที่พักเดินขึ้นมาเรื่อยๆ สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าลักษณะของป่าเริ่มเปลี่ยนไป พืชพรรณเปลี่ยนไป เริ่มหนาแน่นมากขึ้นด้วยเมฆและหมอก
ในที่สุดเราก็ถึงยังจุดสุงสุดของยอดเขาหลวงค่ะ สูงจากระดับน้ำทะเล 1,835 เมตร
ไหว้พระขอให้เมฆหมอกหายไป ให้ลูกได้ดูวิวด้วยเทิด โอมเพี้ยง
ในที่สุดก็ได้ภาพนี้มา พอเห็นเขาฝั่งโน้นไกลๆ
กล้วยไม้มีมากมายตามต้นไม้ หลังจากพยายามชมวิวกันอยู่นานก็เดินทางลงกลับแคมป์ที่พัก แต่ก่อนกลับพี่มานะโชว์มายากลให้ดู
ระหว่างพักเที่ยงที่ลำธาร
ในระหว่างที่กำลังทานอาหารเที่ยงกันอย่างอร่อยก็หารุ้ไม่ว่ากำลังนั่งอยุ่กลางดงทาก โดนทากกัดเอาวันสุดท้ายคนละตัวสองตัวไปตามๆกัน
และแล้วก็เดินออกมาถึงจุดแรกคือเพิงที่พักในสวน นั่งรอรถมอเตอร์ไซค์ขับไปส่งที่บ้านพี่เล็ก อาบน้ำและเก็บสัมภาระทุกอย่างขึ้นรถตู้ เตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพค่ะ
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ประทับใจมาก เริ่มตั้งแต่ได้เรียนรู้วิธีการเดินป่าแบบคนเดินทางจริงๆ สอนให้เรารู้จักเคารพผู้อื่น และในทริปนี้ยังได้มิตรภาพใหม่คือพี่เล็ก คีรีวงศ์ ไกค์นำทางพี่ชายของเรา พี่เล็กได้เล่าเรื่องหลายอย่างที่น่าทึ่งให้เราได้เปิดหูเปิดตากันมากเลยทีเดียว บ้านพี่เล็กมีสวนที่เปิดให้ชาวต่างชาติมาเข้าแคมป์อยู่อย่างวิถีชาวบ้านจริงๆได้ที่นี่ฟรี พาไปเดินป่าหาของป่า ทำสวนผลไม้ พี่เล็กสามารถพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ และเคยไปแบคแพ็คที่ต่างประเทศมาหลายประเทศแล้ว โอ้โหแค่ฟังประวัติก็ทึ่งกันแล้วล่ะค่ะ นอกจากจากอารมณ์ขันมีมุขให้เราได้หัวเราะตลอดทางยังสอนเรื่องพืชพรรณและการเดินป่าให้เราด้วย ถือเป็นโชคดีมากที่ได้รู้จักพี่ชายที่สุดยอดคนนึงค่ะ
ขอบคุณภาพบางส่วนจากกล้องพี่เอ๋และพี่น้ำค่ะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้
พบกันใหม่ทริปหน้า
สวัสดี
^^
ตอบลบหวายย พึ่งเห็นว่าเจ้มาเมนท์น้อง
ลบเขียน เก่งมากเลยแอ๋ม ถ่ายรูปก็สวย
ตอบลบชอบๆๆ
รวมเล่มสะทีเอิ้ว ซื้อหนึ่งเล่มเลย
ขอบคุณค่าาา ...ว่าแต่ใครเอ่ย ^^
ลบมีเบอร์ติดต่อไหมครับ อยากจะไป กรุณาตอบด้วย ขอบคุณครับ
ตอบลบใกล้จะได้ไปตามรอยแอ๋มแล้ว ชัชเอง
ตอบลบผมเคยไปที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ชอบมากๆครับ เป็นทริปสั้นๆที่ประทับใจมาก 3 วัน 2 คืน กับการเที่ยว เขาหลวงเมืองนคร ได้ทั้งสัมผัสธรรมชาติ ตลอดจนบรรยากาศรอบตัว ที่พักก็ดี ผู้คนก็ัน่ารัก ตอนเดินป่า นี่ยิ่งสนุก ได้เก็บภาพสวยๆที่รับรอง กรุงเทพไม่มี กลิ่นของไม้หอมสุดๆ ผมชอบที่สุดคือ ธารน้ำตก ใสและเย็นมากๆ นครศรีตอนนี้ดีกว่าเดิมมาก ปีนี้ต้องไปอีกให้ได้
ตอบลบภาพสวยเล่าเรื่องได้ น่าสนใจมากครับ
ตอบลบ