วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

ธรรมโดยหลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร)

ชอบฟังธรรมแล้วจดบันทึก
ธรรมบรรยายบางส่วนของหลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร)


จิตกับกายมันแยกกัน เวลาตายจิตไม่ตายนะ แต่ธาตุคือตัวเราตาย ดังนั้นท่านจึงสอนกรรมฐาน กรรมคือการกระทำ ฐานก็คือจิต กรรมฐานคืองานของจิตโดยตรง
มนุษย์เอาอะไรไปไม่ได้หรอก ทิ้งไว้แต่สิ่งที่ตัวเองทำ เวียนว่ายตายเกิด หากเกิดมาเจอสภาพสังคมที่ดีก็ดี เจอสังคมที่ไม่ดีก็ไม่ดี ถ้าไม่มีพื้นฐานก็ไปตามสังคมนั้น ถ้ามีพื้นฐานก็หลีกโดยกรรมฐาน เราอยู่ที่ไหนกับใครก็ได้ถ้าเรามีกรรมฐาน เราไม่จำเป็นต้องไปวิเวก กายวิเวกไม่ต้องถ้าเราทำจิตวิเวก จิตวิเวกคืออยู่ในที่ที่คนหมู่มาก สถานที่ครึกโครม เราทำในใจ สวดมนต์ในใจ นั้นคือจิตวิเวก ถ้ากายวิเวกคือไปอยู่คนเดียวในป่าหรือในห้อง ถ้าจิตวิเวกกายมันก็วิเวก กายวิเวกจิตก็วิเวก มันอยู่ด้วยกัน...
---
ว่างๆให้นึกถึงพระ จิตอยู่ที่พระ อยู่บ่อยๆนะ จิตไม่ไปไหน จะลืมเรื่องราวทั้งหมดสิ่งที่ทำในอดีตมันลืมได้ ลืมความทุกข์ความสุขเพราะจิตมันเพลินในพระ กรรมฐานทำได้ตลอด 24 ชั่วโมงนะ ไม่ใช่ไปวัดแล้วค่อยทำ อย่างนั้นคิดผิด ถ้าตื่นขึ้นก็ให้ทำเลย นอนก็ทำจนกว่าหลับ เพราอย่างนั้นจิตจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีพักเลย
อันดับแรก ถ้านอนแล้วสวดมนต์ ฝันร้ายไม่มี ฝันร้ายก็คือกรรมในอดีตบางอย่าง เราทำทั้งดีและไม่ดีในอดีต เราไม่รู้แต่เราใช้ความรู้สึกได้ ถ้าเราสวดมนต์บ่อยๆ ความรู้สึกเราจะเริ่มบวกไปเรื่อยๆไม่มีลบแล้วต่อไป ถ้าเราเริ่มฝึกไป ไม่นานสักสี่ห้าปีทุกวัน เราก็จะรู้แล้วว่าจิตเราเป็นยังไง เราควบคุมโดยพระ คนที่ทำกรรมฐานไม่มีที่ยึดมันยากนะ เลยให้จับภาพพระเป็นกรรมฐาน มันจะเข้าสมาธิได้ไว...
เวลามองพระจะเกิดปีตี นั่นคือเราดึงพลังงานท่านมาที่เรา จิตเรารับและส่ง พอเรานึกมันจะมา เวลาเราแผ่เมตตาเรานึกถึงพระใช้กำลังท่าน กำพระจิตอยู่ที่พระ สวดมนต์ แผ่เมตตา โมทนาบุญ สามอย่างนี้ ใช้เวลาไม่นานจิตมันจะเบา คนมีเมตตาจิตมันจะเบา จิตมีกำลัง จิตไม่สะเทือน เบาขนาดไหน คือไม่รำคาญในเสียง ถึงรำคาญก็ไม่นาน นั่นคือจิตเบา บางคนฝึกกรรมฐานมานาน ลองสำรวจตัวเองดูว่าเรายังหงุดหงิดในรูปรสกลิ่นเสียงที่เราสัมผัสไหม ถ้ายังนั่นแสดงว่าเรายังไม่ได้ จิตเบาคือจิตพรหม ถ้าเบานานๆเข้ามันจะนิ่ง จิตมันจะสบายก่อนอันดับแรก ไม่วุ่นวาย
---
ไม่ใช่ฝึกกรรมฐานแล้วจะเป็นคนที่เซื่องซึมนะ แต่จะกลายเป็นคนที่มีประโยชน์มาก ประโยชน์กับตัวเองกับคนอื่น ไปไหนก็มีประโยชน์ ทำงานหนักกว่าคนธรรมดาด้วย ทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะจิตเกาะอยู่ที่ไตรสรณคมณ์ บางคนถามดวงตาว่าอยากเห็นผี มันไม่ยากนะ ไม่ใช่เห็นใช้ความรู้สึกเอา เวลาเราเดินไปไหนก็เหมือนมีคนเดินข้างๆบ้าง ข้างหลังบ้าง นั่นคือความรู้สึก เวลาไปไหนทำไมขนลุกล่ะ เพราะจิตมันรับ จิตควบคุมธาตุเราอยู่ รับที่จิตออกที่ธาตุไง ถ้าฝึกได้มันจะเพลินมาก จะทำให้ขี้เกียจ อย่าลืมว่าฝึกเพื่อเตรียมตัวตาย เวลาเจ็บป่วยจะลำบาก คนที่เครียดนั่นคืออายุสั้น ทำร้ายตัวเองโรคสารพัด เรพาะความเครียดเป็นพลังงานที่ไม่ดี มันก็จะดึงพลังงานที่ไม่ดีเข้าหาตัวเอง พลังงานทั้งหลายไม่หายไปจากโลกนะ ที่เราทำไว้ทั้งหลายมันเวียนมานะ จิตมันเป็นตัวรับมา มันควบคุมธาตุเราอยู่ เพราะฉนั้นฝึกไว้เพื่อมีประโยชน์ เหตุที่เกิดมาจากอดีต มาปัจจุบันและไปอนาคต สภาพจิตที่ดี ถ้าอยู่ในสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีอันตรายนะ จิตมันไม่รับมันไม่มา คนอารมณ์ดีอายุยืนนะ เรื่องอะไรเราจะต้องไปเสียเงินรักษาโรค สวดมนต์นี่แหละ สวดไปเรื่อยๆขับรถไปก็สวด ปลอดภัยจากกรรมไม่ดีด้วยนะ เพราะจิตมันไม่รับเพราะเราสวดอยู่
เราทำอะไรไว้ในโลกก็คือพลังงานทีทำ แต่ตัวจิตเป็นตัวบันทึก เมื่อตายไปสิ่งที่เราทำไปมันจะมาทั้งดีและไม่ดี นั่นคือการเวียนว่ายตายเกิด ท่านทำไมให้ทำกรรมฐาน เพราะท่านต้องการให้รู้วิธีการเวียนว่ายตายเกิด เวลาตายนี่ยากนะ ไม่เหมือนมนุษย์ ตายไปแล้วขอไม่ได้นะเพราะมีธาตุเดียว ไม่เหมือนมนุษย์ นรก สวรรค์มันมีจริงนะ ...ฝึกกรรมฐานไม่ยากนะ ใช้อิริยบทที่เราทำทุกวันนี่แหละ ยืน เดิน นั่ง นอน ลองทำกันนะ ดีกว่าไปบันทึกเรื่องราวที่มันไม่ดี มันทำให้ชีวิต ธาตุขันธ์มันทำงานมาก ใช้ประโยชน์น้อย
หลวงปู่บอกชีวิตนี้เอ็งเกิดมายุคนี้ดีแล้ว เพราะเอ็งเห็นได้ทุกอย่าง ทั้งดีทั้งชั่ว มันมองเห็นหลายด้าน เพราะฉนั้นกรรมฐานก็ใช้จิตวิเวกนะ เราไม่สามารถจะไปกายวิเวกได้ เราอยู่กับใครที่ไหนก็ได้ในโลก แต่เราไม่เป็นทุกช์เท่านั้นเอง ใช้จิตวิเวกเอา บันทึกแต่ความดี เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนที่สวดมนต์บ่อยๆ
---
การปฏิบัติบวชใน ให้อธิฐานจุดธูปเทียน ข้าพเจ้าขอตั้งสัตย์อธิฐานต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อครูบาอาจารย์ให้ท่านบวชในให้ นึกว่าตัวเองเป็นพระ ทีนี้เริ่มละ เวลาทำกรรมฐานทุกครั้งต้องคิดว่าตัวเองเป็นพระทุกครั้ง จะรักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ไปไหน นึกว่าตัวเองเป็นพระ ใหม่ๆก็จะลืมบ้างไม่ลืมบ้าง หลายปีนานเข้าเราจะฝันว่าตัวเองเป็นพระ นั่นเริ่มแล้ว นานเข้าไปเรื่อยๆ การกระทำเริ่มเป็นพระแล้ว คำพูดเริ่มเป็นพระ ท่านเรียกว่า "ข้างในออกมาข้างนอก" ผลจะเกิดตอนมันออกมาข้างนอกนี่คือการบวชใน แต่ถ้าหลวงตาเนี่ยเขาบวชข้างนอกเข้าหาข้างใน สังเกตง่ายๆ การกระทำเป็นพระเมื่อไหร่นั่นคือสมบูรณ์แบบ จิตเบิกบาน ฝึกยากนะแต่มันง่าย ยากในง่าย ง่ายในยาก
---
การให้ทาน พอเริ่มให้มันจะมีแสงสว่างเกิดที่เรา เราแผ่แสงสว่างไป โลกของโอปาติกะวิญญาณทั้งหมดต้องการบุญ คือแสงสว่าง แสงสว่างคือความสุขนะ บุญก้คือพลังงานที่เราทำทั้งหมดที่เป็นความดี ถ้าเราทำทุกวันลมหสยใจเรามีแสงสว่างนะ สังเกตุพระโพธิสัตย์ที่ท่านสร้างบารมี ไม่มีองค์ไหนที่ท่านไม่ทรงอารมณ์ ทรงอารมณ์ดี หายใจเข้าออกเป็นบุญ ทำได้ตอนมีชีวิตอยู่ ถ้าอารมณ์ดีนะ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี มันจะตัด มันจะบันทึกอารมณ์ตรงนั้นเข้าไป นั่นคือช้า หลวงปู่ท่านจะระวังมาก นั่นคือกำลังที่จะตัดภพชาติ เพราะฉนั้นคนทำกรรมฐานระวัง อารมณ์ไม่ดีไม่ได้นะ อารมณ์ดีมันเป็นกลางๆ ลมหยใจมีประโยชน์ มันบันทึกได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าทำเรื่อยๆมีกำลังมาก ก้ตัดภพชาติได้แล้ว มันอยุ่ที่กำลังใจเรานี่ บารมีมันรวมอยุ่แล้วบันทึกไว้ที่ใจอยู่แล้ว
ทีนี้ถ้าเรานึกถึงครุบาอาจารย์ พลังงานมันจะเพิ่มขึ้นอีกนะ เป็นสองเท่า อย่างหลวงตาสร้างพระ ท่านมีอยุ่แล้ว ก้เพิ่มของหลวงตาเข้าไป เพราะหลวงตาเป้นต้นเหตุไง เข้าใจใหม สมัยก่อนสร้างพระ คนอธิฐานร่วมกัน พลังงานมันเข้าไปในนั้นทั้งหมด จากรูปมานาม จากนามมารูป นั่นคือบุญ คือแสงสว่าง คือความดี คือความสบาย
---
แผ่เมตตา ที่ท่านให้แผ่เมตตา ครุบาอาจารย์ท่านสอน คือให้มีเมตตานะ เรามีเมตตา มันเป็นพรหม ถ้าคนแผ่เมตตาบ่อยๆ มันเริ่มด้วยเมตตา กรุณาก็ตามมา มุทิตาก็ตามมา อุเบกขาก็ตามมา มันบวกเข้าไป เจ้ากรรมนายเวรเราจริงๆ ที่เห็นๆนั่นน่ะคนใกล้ชิดนะ ผัวเมีย ญาติพี่น้องทั้งหลาย พอตายก็จองเวร ถ้าเราเจอใครมีความรู้สึกอยากฆ่าเขา นั่นแหละเจ้ากรรมนายเวร มันต้องหยุดที่เราก่อน ตั้งสัจจะอธิษฐาน อะไรในอดีตเราไม่ขอจองเวร เราจะหยุดในชาติปัจจุบัน หยุดอยู่ที่เรา มันจะประกอบกับเราแผ่ กรรมฐาน ศีลสมาธิปัญญา มันจะไปคู่กันหมด แล้วอโหสิกรรมบ่อยๆ บางคนชีวิตไม่ราบรื่น เพราะในอดีตไปทำเขาไว้เยอะนะ ฉนั้นอธิฐานไม่จองเวรกับใคร ขออโหสิกรรม หยุดอยู่ที่เราจบที่เรา
---
เรามีรูปกับนาม รูปคือสิ่งที่เราเห็นสัมผัสด้วยตา นามคือจิตสัมผัสด้วยใจ

---

เวลาเราสวดมนต์ ญาติที่เสียชีวิตไปแล้วเขาจะมาสวดพร้อมกับเรา เพราะเขาไม่มีธาตุ เขาไม่มีรูป เขามีแต่นาม เพราะฉะนั้นเขาอาศัยรูปนามจากเรา เวลาเราสวดมนต์ญาติที่เสียชีวิตไปแล้วเขาจะสวดตาม ช่วงเวลาที่สวดพลังงานมาที่เรา เราเป็นตัวดึงมาพร้อมกับเขา พอเราหยุดสวดเขาก็ได้ เราก็ได้เหมือนกัน อาจจะเข้าใจยากแต่ถ้าสวดมนต์บ่อยๆจะเข้าใจเรื่องพวกนี้...
เวลาสวดมนต์เรานึกถึงพระ พอเรานึกเราสวดพลังงานมาที่เรา มาที่นามเข้าหารูป เราจะมีความรู้สึกเวลาสวดไปเรื่อยๆ พลังงานมันมา โลกของโอปาติกะแถวนั้นที่เราอนุญาติเขาก็จะมาสวดกับเราด้วย มันพิสูตรได้ กลับไปบ้านทุกครั้งที่สวดมนต์ให้นึกถึงญาติและโลกวิญญาณแถวนั้นมาสวดมนต์กับเรา มารับบุญกับเราตลอดชีวิตโดยไม่ต้องบอก หรืออธิฐานเวลาเราไปไหนก็ช่างทำบุญที่ไหนก็ช่างให้เขามารับบุญกับเรา เราไปไหนกราบพระที่ไหน เราจะมีความรู้สึกว่าเรามีเพื่อน อยู่คนเดียวในห้องเราก็จะมีเพื่อน เราจะมีความรู้สึกว่าเขามาสวดกับเรา อย่าไปกลัวนะ โลกวิญญาณอย่ากลัว...ถ้าจะกลัวให้กลัวคน ...เพราะนั่นน่ะเขาจะดูแลรักษาเราอย่างดีเลย...

--หลวงตาม้า--

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น