วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สัมผัสหมอกหยอกฝน ที่ลานสนภูสอยดาว : อุตรดิตถ์

ได้ยินคำว่า "ภูสอยดาว" ก็ทำให้จินตาการถึงภูเขาที่สูงเสียดดาว สามารถมองเห็นดาวได้ถนัดชัดเจน แต่พอมาสัมผัสจริงๆนั้นแตกต่างจากที่จินตนาการไว้มาก สวยงามในอีกแบบ เป็นทุ่งดอกไม้ในท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและสายหมอกบนยอดเขาสูง ลมพัดเอื่อยเย็น และนอกจากนี้ยังมีน้ำตกที่มีต้นเมเปิลแดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ให้ได้ชมกันอีกด้วย







อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด กินเนื้อที่สองจังหวัดคืออุตรดิตถ์กับพิษณุโลกและเขตแดนติดต่อกับประเทศลาว เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย

อุุุทยานแห่งนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว ได้แก่ น้ำตกภูสอยดาว เป็นน้ำตก 5 ชั้น น้ำตกสายทิพย์ ใบเมเปิลแดงและการผจญภัยผ่านเนินมรณะขึ้นสู่ลานสนสามใบอันสวยงาม มีทุ่งดอกหงอนนาคที่ชึ้นชื่อ หลายคนให้คำจำกัดความว่า "สัมผัสหมอก หยอกฝน ที่ลานสน ภูสอยดาว"

โดยทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมดสามวันสองคืน

การเตรียมตัว

1. เครื่องแต่งกาย ควรเป็นกางเกงขายาวและไม่ควรเป็นยีนส์เพราะมักจะทำให้เสียดสีรู้สึกอึดอัด  เสื้อยืดแขนยาว แขนสั้น สีสันตามสะดวก รองเท้าหุ้มส้นมีดอกยางช่วยในการเกาะและมั่นคงเวลาก้าวเดิน หมวกหรือผ้าคลุมหน้าเอาไว้ป้องกันฝุ่น ลมและแสงแดด
2. กระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระ ควรแยกออกเป็นสองใบคือ กระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระที่เราสามารถนำติดตัวไปเที่ยวเดินป่าด้วยได้และกระเป๋าใส่สัมภาระที่วางเก็บไว้ที่แคมป์ที่พัก และควรมีแพ็คของใส่ถุงกันน้ำเพราะฝนอาจตกได้ตลอดเวลา ให้เตรียมพร้อมไว้ก่อน
3. ครีมกันแดด สเปย์กันยุง ไฟฉาย 

4. เสื้อกันฝน

เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพในคืนวันศุกร์ นอนพักผ่อนเอาแรงบนรถจนกระทั่งมาถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวในเวลาเกือบแปดโมงเช้า แม้จะเริ่มสายแล้วแต่หมอกยังคลุมพื้นที่ อากาศเย็นสบาย ที่อุทยานมีบริการร้านอาหาร ลานกลางเตนท์ ห้องอาบน้ำและบริการต่างๆ นอกจากนี้ยังมีน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขาที่ผ่านเข้ามาใสตัวอุทยานให้ได้เล่นอีกด้วย

หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน ก็แพ็คสัมภาระและแจกแจงของให้แก่ลูกหาบ หากใครอยากอาบน้ำชำระตัวก่อนเดินขึ้นเขาก็สามารถทำได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครอาบน้ำเช่นเคย




จากนั้นเริ่มเดินขึ้นเขาโดยผ่านเส้นทางนี้ เห็นน้ำตกอยู่ด้านขวามือของอุทยานไกลๆ

เดินมาได้เล็กน้อยก็เจอสะพานข้ามน้ำตก เก็บภาพกันเสียหน่อย


























เป็นป่าดิบชื้นผสมกับป่าไผ่มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ทำให้ป่าชื้นและเขียวชอุ่ม หลังจากเดินผ่านป่าทางเดินสบายนั้นเป็นทางเดินขึ้นเนิน


การผจญภัยขึ้นสู่ลานสนภูสอยดาว จะต้องผ่านเนินวัดใจ 5 เนิน ได้แก่

1. เนินส่งญาติ พูดกันขำๆ แม้ว่าญาติจะรักกันสักเพียงใด ก็มาส่งกันได้แค่ตรงจุดนี้ เป็นทางเดินขึ้นเขาชันพอควร มีบันไดเหล็ก บันไดไม้ และไม่มีบันได ระยะทางประมาณ 650 เมตร

2. เนินปราบเซียน ระยะทางประมาณ 780 เมตร เป็นทางสูงชัน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมพัก ณ จุดพักสุดเนินปราบเซียน เพราะมีระยะทางจากจุดเริ่มต้น 3,000 เมตร หรือเกือบครึ่งทางของทางเดินทั้งหมด

3. เนินป่าก่อ เป็นช่วงทางเดินที่ไม่ชันมาก มองไปรอบๆ จะเต็มไปด้วย "ต้นก่อ" หรือ "ต้นโอ๊ก" ในต่างประเทศ เป็นต้นไม้ที่ให้ความเอื้ออาทร เป็นอาหาร ที่พักอาศัย แก่สรรพชีวิตในป่า จึงได้รับการยกย่องให้ "ก่อ" เป็นเสมือนราชาแห่งป่าดิบเขา

4. เนินเสือโคร่ง ระยะทางประมาณ 200 เมตร ชื่อเนินมาจาก "ต้นกำลังเสือโคร่ง" เปลือกของลำต้นใช้เป็นยาสมุนไพรบำรุงกำลัง ทำให้เจริญอาหาร ขับลมในลำไส้ บำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีกลิ่นหอมคล้ายการบูร

5. เนินมรณะ ช่วงสุดท้ายก่อนถึงลานสน ระยะทางประมาณ 1,410 เมตร เป็นช่วงที่ชันที่สุดของเส้นทางภูสอยดาว และมีวิวภูเขา และทะเลหมอกจางๆ ให้ได้ชื่นชมและพักผ่อนคลายความเมื่อยล้า

จุดพักก่อนขึ้นเนินส่งญาติ


















จากป่าชื้นๆ ขึ้นเขามาเรื่อยๆ เริ่มเห็นเป็นป่าโปร่งมีแดดส่องถึง




ตามพื้นดินมีตะไครน้ำเกาะตามหินและขอนไม้มากมาย แสดงให้เห็นว่าเป็นป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์เอามากๆ และนอกจากนี้ยังมีดอกไม้ ผลไม้แปลกๆ ไม่ทราบชื่อจริงๆ แต่ขอถ่ายเก็บไว้สักหน่อย


หยุดพักกินข้าวเที่ยงที่เนินโล่ง จากข้างบนมองลงไปเห็นวิวข้างล่างสวยมาก แม้จะเที่ยงแล้วแต่ก็ยังมีหมอกตลอดทางเดิน

























และก็มาถึงจุดที่พักก่อนขึ้นสู่เนินมรณะ หลังจากนี้จะเป็นเนินที่สูงและชันมาก 

















ช่วงเนินมรณะขึ้นสู่ลานสน หลังจากก้มหน้าก้มตาเดิน ช่วงพักระหว่างทางหันหลังไปก็พบกันวิวสวยงามฉนี้แล

หลังจากนี้ตอนปีนเขาที่ชันมากขึ้นไปยังลานสนอาจไม่ค่อยมีภาพสักเท่าไหร่เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินๆๆอย่างเดียวค่ะ คิดไว้ว่าขากลับค่อยเก็บภาพให้เต็มที่


เย่! ในที่สุดเราก็มาถึงลานสนแล้ว ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร บนนี้อากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อยมากค่ะ บางครั้งแดดก็ออกจ้าสักพักก็มีหมอกมีฝนเทมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เดาไม่ถูกกันเลยที่เดียวว่าเป็นฤดูอะไร




หลังจากเดินผ่านลานสนเข้ามาก็จะพบกับลานกลางเตนท์ ช่วงนี้หมอกเริ่มมา เราก็ช่วยกันจัดแจงกางเตนท์เก็บข้าวของเข้าเตนท์ส่วนกลาง เสร็จแล้วก็ออกมาชมวิวเก็บบรรยากาศ 
























ลานสน คือ บริเวณที่ราบเหนือยอดเขาบนภูเขายอดตัด หรือที่ราบเหนือยอดเขานั่นเอง

เดินชมวิวรอบลานสนที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เต็มไปด้วยทุ่งดอกหงอนนาค ดอกสีม่วงเล็กๆบานสะพรั่ง และฝนก็เทลงมา ตกๆ หยุดๆ ให้ได้ชุ่มฉ่ำกันบ้างนะคะ

ในช่วงเวลาใกล้ค่ำ ทุกคนก็เก็บสัมภาระของตัวเองพักผ่อนตามอัธยาศัย เก็บภาพความประทับใจไว้ที่ลานสน 

บนลานกางเตนท์ เจ้าหน้าที่ได้ทำห้องน้ำไว้ข้างบนเพื่อบริการแก่นักท่องเที่ยวแบ่งเป็ยชายหญิง โดยน้ำใช้ต้องไปตักมาจากลำธารเองค่ะ ซึ่งก็ไม่ไกลจากตัวห้องน้ำนัก ทุกคนสามารถอาบน้ำชำระร่างกายได้ แต่บอกเลยว่าหนาวมาก ให้ทายว่าเราอาบน้ำมั๊ย?

ตกเย็นทุกคนต่างก็ช่วยกันเตรียมอาหารที่เตนท์ใหญ่ของเราและก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งเข้านอน เพื่อเตรียมตัวสำหรับทริปวันพรุ่งนี้ ซึ่งฝนตกตลอดทั้งคืน ไม่มีโอกาสได้ดูดาวเลยค่ะ








สวัสดีเช้าวันใหม่ที่ลานสน จากที่ฝนตกทั้งคืนทำให้ตื่นมาตอนเช้าหมอกหนาและหนาวเย็นมาก ลมพัดเอื่อยๆผ่านมาก็หนาวสั่นไปถึงทรวง เช้านี้เรามีทริปไปเดินน้ำตกชื่อสายทิพย์ ดจุดหมายของเราคือเพื่อไปดูใบเมเปิลสีแดง โดยเส้นทางต้องเดินลงเขาไปอีกห่างจากที่พักประมาณหนึ่งกิโลเมตร 





เดินจากที่พักออกมาประมาณ 500 เมตร จะพบกับทางแยกลงไปน้ำตก ซึ่งทางลงต้องปีนลงเขาไปอีกประมาณหนี่งกิโลเมตร ทางลื่นและลาดชันมาก















ระหว่างทางฝนก็เริ่มตกปรอยๆต้องเอาเสื้อกันฝนมาใส่กัน





































ทั้งลื่นทั้งทางลาดชันต้องปีนป่าย ช่วยกันคนละไม้ละมือ




ในที่สุดเราก็เริ่มเจอใบเมเปิลแดงแล้ว เริ่มมีความหวังว่าเราจะเจอทั้งต้น


สุดท้ายก็เห็นแค่ใบนะคะ ยังไม่เห็นต้นเมเปิลที่มีใบแดงๆเลยค่า อดกันไป

มีลิงโหนเถาวัลย์ด้วยนะเออ
















ให้อารมณ์ชื้นแฉะได้ดีมาก นอกจากมีน้ำตกแล้วฝนยังตกตลอดเวลาทำให้พื้นไม่แห้งเลย ถ่ายมอส ตะไคร่น้ำ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ






















มีตัวบุ้งออกมาเล่นน้ำ น่ารักเชียว




















น้ำตกสายทิพย์ เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีสายน้ำไหลลดหลั่นลงมาตามชั้นเตี้ยๆ รวม 7 ชั้น ความสูงแต่ละชั้นประมาณ 5-10 เมตร ฤดูฝนน้ำจะไหลแรงมองดูสวยงามมากและมีน้ำไหลตลอด สภาพป่าโดยรอบน้ำตกมีความชุ่มชื้นมาก จึงมีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมทั่วไปตามก้อนหินริมน้ำอย่างภาพที่เห็น

หลังจากผิดหวังจากต้นเมเปิ้ลแดง แต่ก็ไม่ทั้งหมดเสียทีเดียว ยังมีใบเล็กๆหล่นมาตามสายน้ำให้ได้เห็นกันบ้าง เราก็เดินทางกลับยังที่พักเพื่อเตรียมไปยังเส้นทางสำรวจธรรมชาติบนลานสนกันต่อ


ลูกหาบแข็งแกร่งจริงๆ เห็นแบบนี้แต่แข็งแรงมากนะคะ เดินขึ้นลงได้สองรอบต่อวันเลยทีเดียว กล้ามแขนเป็นมัด


























ระหว่างเดินไปลานสน บน "ลานสนสามใบภูสอยดาว" จะพบกับ "ทุ่งดอกหงอนนาค" เบ่งบานอยู่เต็มทั่วบริเวณ เป็นภาพที่สวยงามประทับใจมาก และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย

"ดอกหงอนนาค" มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "หญ้าหงอนเงือก" หรือ "น้ำค้างกลางเที่ยง" ออกดอกในช่วงฤดูฝน ดอกจะมีทั้งสีม่วงอ่อน หรือม่วงน้ำเงิน สีขาว และสีชมพู ยามเช้าดอกหงอนนาคจะหุบดอก และจะบานเมื่อมีแสงแดด ส่วนกลางของดอกจะมีหยดน้ำติดอยู่ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "น้ำค้างกลางเที่ยง" ค่ะ

บรรยากาศยังชุ่มชื่นเหมือนเดิม มีฝนตกปรอยๆและเมฆหมอกลอยมาไม่ขาดสาย





















































หลักเขตไทย-ลาวเป็นหลักเขต 2 แผ่นดิน ที่ปักปันเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว อยู่ห่างจุดกางเต็นท์ไปประมาณ 1 กิโลเมตร เก็บภาพสักหน่อยเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่าได้มาเที่ยวต่างประเทศแล้ว










เส้นทางเดินชมธรรมชาติ เป็นวงรอบระยะทาง 2.28 กิโลเมตร ชมความงามของสนสามใบสูงตระหง่าน ดอกไม้ป่าแปลกตา นอกจากนั้นยังมี "หลุมบังเกอร์" สมรภูมิร่มเกล้า และจุดชมวิวเลาะเลียบผาที่สามารถมองลงไปเป็นทิวทัศน์ของผืนป่าและทะเลภูเขาอันสวยงามกว้างไกล

























และแล้วการเดินทางในทริปของวันนี้ก็หมดลงเพียงเท่านี้ เสร็จจากการเดินชมบนเส้นทางชมธรรมชาติ ก็ได้เวลากลับแคมป์ที่พัก



สวัสดีเช้าอีกวันบนภูสอยดาว วันนี้เป็นวันสุดท้ายเก็บสัมภาระและเตรียมตัวเดินลงเขากลับไปยังอุทยาน เช้าๆก็มากายบริหารร่างกายยืดเส้นเพื่อความพร้อมสำหรับการเดินลงเขา ทริปครั้งนี้เรามีเทรนเนอร์ฟิตเนตมาเป็นคนนำกายบริหารให้ด้วยนะคะ


 ระหว่างทางเดินแวะชมวิวข้างทาง 


 เช้านี้ฟ้าเปิดอากาศสดใสมากเลยทีเดียว


ช่วงเนินมรณะ มองเห็นวิวข้างล่างสวยงาม มองลงไปข้างล่างเห็นหมอกลอยมาตลอดเวลา

 ออกไปแตะขอบฟ้า


 เข้าสู่ช่วงดงหมอกแล้วค่ะ อากาศเย็นสบาย


ทางเดินเข้าสู่ป่าไผ่


ช่วงขาขึ้นไม่ได้ถ่ายไว้ ช่วงขาลงเลยเก็บภาพน้ำตกข้างทางเดินสักหน่อย ซึ่งบางจุดก็ต้องข้ามน้ำตกไปด้วย บางจุดมีสะพานที่เจ้าหน้าที่ทำไว้ให้นักท่องเที่ยว

และแล้วเราก็เดินลงมาถึงอุทยานได้อย่างรวดร็วกว่าขาขึ้นสามเท่า มาถึงก็ไม่ต้องถามอะไรมากกระโดดลงเล่นน้ำตกในอุทยานทันที ยิ่งป่าดิบชื้นแบบนี้น้ำเย็นมาก และสุดท้ายก็รับประทานอาหารเที่ยง เก็บสัมภาระขึ้นรถเตรียมตัวกลับบ้าน เป็นอันจบทริปในครั้งนี้


























ทริปครั้งนี้ทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่มากมายหลายคน ต่างคนก็มีอาชีพหลากหลาย แต่แกงค์ของเราก็ยังหน้าตาเดิมๆ รักการเที่ยวผจญในป่า

มิตรภาพใหม่จึงได้เกิดขึ้น จากการเดินทางใหม่ จากคนที่ชอบอะไรเหมือนกันและบังเอิญได้เจอกัน คุยกันเหมือนรู้จักกันมานาน และสุดท้ายก็กลายเป็นแกงค์ขาลุย สัมผัสความงามของธรรมชาติจากวิวมุมสูงและหลงรักจนต้องไปอีก


ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ค่ะ ร่วมเที่ยวกันอีกในทริปหน้านะคะ


สวัสดี

2 ความคิดเห็น: