วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คติธรรมคำสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี )


๐ คติธรรมคำสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี )
๑. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
...ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่ และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา
...กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน
๓. หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง
๔. ทางแห่งความหลุดพ้น
...เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน
๕. แต่งใจ
...ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น จะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย เป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ?
๖. กรรมลิขิต
...เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต
อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่
ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง
อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน
ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง
เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ
๗. นักบุญ
...การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น
๘. ละความตระหนี่มีสุข
...ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้น จึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่ รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน
๙. อย่าเอาเปรียบเทวดา
...ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง การทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใครและของเรื่องราวนั้นๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย
๑๐. บุญบริสุทธิ์
...การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่นึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน
๑๑. สั่งสมบารมี
...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้น เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน
๑๒. เมตตาบารมี
...การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขา ท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่าไม่มาก และทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน
๑๓. แผ่เมตตาจิต
...ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า
๑๔. อานิสงส์การแผ่เมตตา
...ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้
๑๕. ประโยชน์จากการฝึกจิต
...ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม
(คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี )

๐ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
อภิเศรษฐ์ ธัชศิริธีรภัทร

ขออนุญาตพี่ อภิเศรษฐ์ ธัชศิริธีรภัทร นำมาเขียนลงในบล็อก เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวผู้ฝึกปฏิบัติอย่างข้าพเจ้าเอง 
สาธุ สาธุ สาธุ

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการเดินทาง : ฉบับกับคนรู้ใจ

เรื่องเล่าของนักธรณีวิทยาและนักดนตรี ฮ่าๆ คิดแล้วก็ตลกเรามาบรรจบกันได้อย่างไร อุ่ย! ผิดหัวข้อ... เรื่องเล่าของคนสองคนที่รักธรรมชาติและการท่องเที่ยว จนถึงตอนนี้มานับดูกันดีกว่าว่าเราไปเที่ยวที่ไหนกันมาบ้าง ปล.จริงๆกำลังรื้อรูปมาล้างติดผาบ้าน :P




1."เขาช้างเผือก" ทองผาภูมิ กาญจนบุรี
ทริปแรกของเราที่อยากแบกเป้เดินเขา จุดเริ่มต้นจากเมื่อครั้งสมัยก่อนที่เขาช้างเผือกยังไม่ดังไม่มีการโปรโมท เราได้รู้จักเขาที่นี่จากในบล็อกที่หนึ่ง เห็นครั้งแรกก็ประทับใจเลย ตั้งใจว่าจะไปที่นี่ให้ได้ แต่ด้วยที่ไม่เคยแปกเป้เที่ยวเองมาก่อน เปิดดูข้อมูลต้องติดต่อใคร เตรียมอะไรบ้างดูยุ่งยากและไม่มีประสบการณ์มาก่อน เลยตัดสินใจไปกับทัวร์เดินป่าของ Trekking Thai และก็ได้ไปสมใจ

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2014/10/blog-post_20.html





2. "ลำคลองงู" กาญจนบุรี
ทริป adventure ที่ลำคลองงู ที่นี้ถือว่าเป็น Unseen in Thailand แห่งหนึ่งของเราเอง สถานที่ที่มีชื่อของที่นี่คือ "ถ้ำเสาหิน" ที่เกิดจากหินงอกหินย้อยที่สุงที่สุดในประเทศไทย 62.5 เมตร สำหรับการเดินทางเข้าไปชม มีทั้งเดินป่า ว่ายน้ำ ปีนเขา กระโดดน้ำตก เรียกได้ว่าผจญภัยต่างๆนาๆ บริเวณถ้ำเสาหินจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะช่วงเดือน มีนาคมถึงเมษายนเท่านั้น

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่ http://amrobon.blogspot.com/2014/11/blog-post.html






3."ภูสอยดาว" อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อุตรดิตถ์
ได้ยินคำว่า "ภูสอยดาว" ก็ทำให้จินตาการถึงภูเขาที่สูงเสียดดาว สามารถมองเห็นดาวได้ถนัดชัดเจน แต่พอมาสัมผัสจริงๆนั้นแตกต่างจากที่จินตนาการไว้มาก สวยงามในอีกแบบ เป็นทุ่งดอกไม้ในท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและสายหมอกบนยอดเขาสูง ลมพัดเอื่อยเย็น และนอกจากนี้ยังมีน้ำตกที่มีต้นเมเปิลแดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ให้ได้ชมกันอีกด้วย

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2014/11/blog-post_79.html




4."น้ำตกเปรโต๊ะลอซู" หรือปิ๊ตรุ๊โกร หัวใจแห่งอุ้มผาง ตาก
ตามหาหัวใจแห่งอุ้มผาง "เปรโต๊ะลอซู" หรือ "ปิ๊ตุ๊โกร" เคยได้ยินชื่อน้ำตกทีลอซูมานานแล้ว แต่เปรโต๊ะลอซู พึ่งรู้จักเมื่อไม่นานมานี้ และเส้นทางก็ใช้เส้นเดียวกันแต่ทางจะไกลกว่าหน่อยเท่านั้น เป็นน้ำตกที่ไหนจากหน้าผาสูง สายน้ำไหนเป็นสายหลายสายและมาบรรจบกันเป็นรูปหัวใจ โดยพี่เล่าว่าจะสวยมากโดยเฉพาะหน้าฝน และที่นี่เป็นน้ำตกที่พบโดยบังเอิญจากการสำรวจยอดดอยมะม่วงสามหมื่นที่ชายแดนไทย-พม่า ที่อุ้มผาง

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2015/01/blog-post.html




5."ดอยหลวงเชียงดาว" เชียงใหม่
สามวันสองคืนบนดอยหลวง ป่าไม้พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ อากาศหนาวจับใจ ดอกไม้ต้นไม้บานเต็มสองข้างทาง ฮ่อมเชียงดาวเต็มดอย มีดอกพญาเสือโคร่งขึ้นเป็นหย่อมๆ บนความสูง 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตื่นแต่เช้ามืดจากแคมป์เพื่อเดินขึ้นยอดกิ่วลมไปดูพระอาทิตย์ขึ้น มืดจนต้องใช้ไฟฉายนำทาง ตกเย็นเดินขึ้นยอดดอยหลวงเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตก ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า อาบลมห่มฟ้า ห้องน้ำธรรมชาติ เป็นอีกทริปหนึ่งที่สวยและประทับใจมากๆ 

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2014/11/blog-post_20.html





6."เขาหลวง" คีรีวงศ์ นครศรีธรรมราช
ครั้งแรกกับการเดินป่าใต้ เราเริ่มเพิ่มระดับความยากของการเดินป่าขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินคนพูดกันมากมายว่าป่าใต้นั้นเดินยาก ยากอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ไม่มีคำจัดกัดความที่ชัดเจน จนกระทั่งช่วงกลางปีพี่ๆได้ชวนไปเดินเขาหลวงที่นครศรีธรรมราช ก็ตอบรับไปในทันที ทั้งที่ไม่มีข้อมูลอะไรทั้งสิ้น แต่สิ่งที่พูดกันมากคือ "ทากเยอะ" ตั้งแต่เดินป่ามายังไม่เคยโดนทากกัดเลยสักครั้ง เลยไม่ได้กลัวอะไรมาก แพ็คกระเป๋าได้ก็ออกเดินทางเลย โดยเราใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ สามวันสองคืนเช่นเคย โดยการขึ้นเขาหลวงครั้งนี้ ขึ้นที่บ้านคีรีวงศ์ ไม่มีลูกหาบ เพราะเขาที่นี่ยังไม่ดังเท่าที่อื่นๆ ป่ายังดิบอยู่มาก ต้องอาศัยคนในพื้นที่ช่วยในการนำทาง 

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2015/01/blog-post_6.html




7."ทุ่งทานตะวัน" เขาจีนแล ลพบุรี
จังหวัดลพบุรี เป็นทุ่งทานตะวันที่ใหญ่มากที่หนึ่งในประเทศไทย มีพื้นที่กว้างใหญ่มากหลายไร่ ตั้งอยู่บริเวณเขาจีนแล ใกล้วัดเวฬุวัน ตำบลโคกตูม อำเภอเมืองและเป็นทุ่งทานตะวัน ที่ใกล้ตัว เมือง ลพบุรีมากประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น ด้านหลังสวยงามด้วยภูเขาเรียกว่า เขาจีนแล  ถือว่าเป็นทุ่งทานตะวันที่สวยที่สุดของจังหวัดลพบุรีเลยทีเดียว ซึ่งเทศกาลชมดอกทานตะวันจะมีทุกปี ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ที่นี่ไม่เก็บค่าเข้าชมแต่อย่างใด เพียงแค่ขอความร่วมมือให้นักท่องเที่ยวช่วยกันไม่ทำลายดอกทานตะวันเท่านั้นเอง

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2015/01/blog-post_1.html



8."เกาะล้าน" พัทยา
เที่ยวเกาะใกล้กรุงเทพ "เกาะล้าน" ขับรถชั่วโมงครึ่งถึงพัทยา แล้วนั่งเรือข้ามไปเกาะล้านที่ท่าเรือแหลมมาลีฮาย เกาะที่นี่ไม่เหมือนเกาะท่องเที่ยวที่เจริญ ที่นี่สงบมากเหมือนหมู่บ้านหนึ่งในต่างจังหวัด มีตลาดนัดตอนกลางคืนหน้าวัด ของกินและที่พักราคาไม่แพงมาก คราวหน้าคงได้ไปเยือนอีก เก็บภาพได้นิดหน่อย เที่ยวอย่างเดียว 



9.เที่ยวโคราช ปากช่องถึงวังน้ำเขียว
ขับรถเที่ยวชิวๆหลายครั้ง ในหลายๆที่ตั้งแต่ปากช่อง เขาใหญ่ ถึงวังน้ำเขียว เก็บแต่ภาพคู่มาลงละกันเนอะ





10.เที่ยวเมืองตรัง
ไปเยือนเมืองตรังมา 2 ครั้ง สถานที่ท่องเที่ยวของเมืองตรังมีมากมายค่ะ โชคดีได้เจ้าบ้านเป็นไกค์พาเที่ยว (แฟนตูนี่แหละ) มีทั้งแบบขับรถยนต์และขับรถมอเตอร์ไซค์ตะเวณเที่ยวไปเรื่อยๆ แล้วแต่วันไหนขยัน ถ้าขี้เกียจก็ขับรถเล่นในเมืองซะส่วนใหญ่ เที่ยวทั้งเกาะต่างๆ ถ้ำมรกตที่มีชื่อเสียง ชายหาดมากมายให้ได้พักผ่อนหย่อนใจ ส่วนที่ไม่ติดทะเลก็มีน้ำตก ถ้ำ วัด มัสยิด ให้ได้เที่ยวชมเช่นกันค่ะ

ตรัง เมืองหน้ารักเที่ยวเกาะ ถ้ำและนำตก, หาดปากเมง, เกาะไหง, หาดเจ้าไหมและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ, ถ้ำเลเขากอบ, น้ำตกโตนเต๊ะ, แหลมหยงสตาร์


อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2014/10/2.html






11. "แสมสาร" ดำน้ำดูปะการัง เกาะแสมสาร สัตหีบ
ดำน้ำดููปะการัง เกาะแสมสาร สัตหีบ สนุกสนาน โลกใต้น้ำยังสวยงามและประทับใจ ทั้งปลาการ์ตูน ปะการัง หลายภาพต้องอาศัยพี่มนุษย์กบดำลงไปถ่ายให้เพราะดำเองไม่ถึง 






12."ภูกระดึง" เที่ยวชมธรรมชาติบนภูกระดึง เลย
บนเส้นทางธรรมชาติภูกระดึง : เส้นทางบนหลังแปนี้ยาวไกลมาก เริ่มตั้งแต่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานางแอ่น" ต่อด้วยตามหาใบเมเปิลแดงที่ "น้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกเพ็ญพบ" และค่อยๆขึ้นเขาตามผาต่างๆจนสุดพระอาทิตย์ตกที่ "ผาหล่มสัก" ระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตร...จริงๆแล้วถ้าจะเที่ยวให้ครบภายในวันเดียว ภูกระดึงก็ไม่ได้ชิวอย่างที่คิด 







13."ยอดหินกูบ" เขาสอยดาวใต้ จันทบุรี
อีกเช่นเคย เป็นทริปที่พี่ชวนไปอีกครั้ง โดยไม่ได้คิดตอบตกลงในทันที ยอดหินกูบ เขาสอยดาวใต้ จังหวัดจันทบุรี เป็นยอดเขาหินแกรนิตแข็งลักษณะเป็นชะง่อนผามีหลังคาคล้ายถ้ำเล็กๆ โดยเราเดินขึ้นเขาถึงยอด ครั้งนี้กางถุงนอนกันเป็นปลาทูใต้ชะง่อนผา ไม่มีเตนท์หรือเปลเหมือนเช่นเคย ตกเย็นลมแรงอากาศหนาวจับใจ

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่





14."อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" พิษณุโลก
ขับรถเที่ยวป่าหน้าฝนขึ้นไปพิษณุโลกจนถึงที่ทำการอทยานภูหินร่องกล้า เดินบนเส้นทางธรรมชาติไปลานหินปุ่มเพื่อชมพระอาทิตย์ตก เช้าวันต่อมาขับรถไปที่หน่อวยน้ำตกหมันแดง แม้สายมากแล้วเมฆหมอกยังครึ้ม เดินลงเขาไปน้ำตกหมันแดง ตามหาเจ้าดอกลิ้นมังกรสีชมพู ที่เขาว่าออกดอกโชว์แค่ฤดูฝนเท่านั้น

อ่านเรื่องเที่ยวเต็มๆได้ที่นี่  http://amrobon.blogspot.com/2015/08/blog-post_6.html






อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า : น้ำตกหมันแดง

พอฝนตกชุ่มฉ่ำทำให้คิดถึงป่าหน้าฝน ในตอนแรกนั้นวางแผนไปล่องแก่งกับพี่ๆแกงค์เดิม แต่ด้วยหลายคนติดภารกิจทำให้ทริปนี้ล่มไป คิดอยู่นานนี่คงถึงเวลาต้องลองเที่ยวเองดูบ้างโดยเตรียมทุกอย่างด้วยตัวเอง โทรสอบถามเจ้าหน้าที่ นั่งดูข้อมูลไปเรื่อยๆจนเจอที่อยากจะไปคือ"ตามหาดอกลิ้นมังกรสีชมพู ที่น้ำตกหมันแดง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" นั่นเอง



ศึกษาข้อมูลเส้นทางการเดินทางจากกรุงเทพสู่พิษณุโลก ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 ซึ่งเส้นนี้ไม่ได้พาไปแค่ล่องแก่งน้ำเข็ก เที่ยวอุทยานทุ่งแสลงหลวงและขึ้นเขาค้อเท่านั้น ยังเป็นเส้นทางขึ้นอุทยานภูหินร่องกล้าอีกด้วย รวมระยะทางจากตัวเมืองพิษณุโลก 127 กิโลเมตร ทางขึ้นภูหินร่องกล้านั้นขึ้นได้ทั้งจากอำเภอนครไท พิษณุโลกและจากทางอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยครั้งนี้เราเลือกขึ้นทางพิษณุโลกและลงทางภูทับเบิกเพื่อจะได้เที่ยวได้ครบค่ะ



ขับรถขึ้นเขาไปกว่า 25 กิโลเมตรก็ถึงที่ทำการอุทยาน ซึ่งมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่ต้อนรับ ติดต่อบ้านพักแทนกลางเตนท์ที่เตรียมมาเองเพราะเห็นอากาศครึ้ม คืนนี้ฝนคงตกอย่างแน่นอน บ้านพักหลังละ 800 บาท สองห้องนอน พักได้ 2-6 คนเลยทีเดียวค่ะ หลังจากนั้นก็หาที่ทานอาหาร บนนี้มีร้านอาหารอยู่สองร้านคือร้านรังทองและร้านดวงใจซึ่งทั้งสองร้านราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับร้านอาหารสถานที่เที่ยวดังๆทั่วไป หลังจากอิ่มหนำสำราญก็เดินเล่นในตัวอุทยานสักหน่อยฆ่าเวลา ทั้งร่มรื่นและอากาศเย็นสบาย พอตกเวลาเย็นก็เดินทางไปลานหินปุ่มเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งเขาว่าสวยที่สุดในภูหินร่องกล้าเลยทีเดียว

จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ขับรถไปทางอำเภอหล่มสักตามทางลาดยาง 2 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางชัดเจน จอดรถแล้วเดินลงไปบนเส้นทางอีก1.5 กิโลก็ถึงจุดชมวิวลานหินปุ่ม เส้นทางนี้จะมีลักษณะเป็นวงรอบเสียบหน้าผา คือเริ่มจากสำนักอำนาจรัฐ ผาชูธง ลานหินปุ่ม


ภูหินร่องกล้าฤดูฝน ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้และธารน้ำไหลรินไปทั่วพื้น
โคลงคลาง ดอกไม้ธรรมดา แต่สวยไม่ธรรมดาบนยอดภู
ลิ้นมังกร สีส้มสีเหลือง เห็นได้ช่วงฤดูฝน เห็นได้ง่ายตามทางเดินไปลานหินปุ่ม
เปราะภูสีขาว ออกดอกสะพรั่งเป็นทุ่งตามทางเดินไปลานหินปุ่ม เห็นได้ในช่วงฤดูฝนเท่านั้น
สำนักอำนาจรัฐนั้นคือศูนย์บัญชาการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้วางแผนงานในสมัยก่อน จากนั้นเดินไปเที่ยวผาชูธง เป็นการเดินเลียบหน้าผาไปลักษณะเป็นหน้าผาสูง เวลาคอมมิวนิสต์รบชนะจะมาโบกธงบนยอดนี้ เดินจากผาชูธงไปอีก 500 เมตรถึงลานหินปุ่ม อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของภูหินร่องกล้าก็ได้ ลักษณะเป็นลานหินตะปุ่มตะป่ำ ยืนชมวิวที่นี่ได้กว้างไกล


ลานหินปุ่ม จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก




จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ลานหินปุ่ม
 หลังจากเก็บภาพได้ก่อนพระอาทิตย์ตก ก็รีบเดินกลับไปยังลานจอดรถก่อนมืด เพราะหากมืดแล้วทางเดินยิ่งมืดยิ่งอันตราย กลับไปยังบ้านพักที่อุทยาน และเป็นดังคาดฝนตกหนักทั้งคืน ได้แต่ภาวนาให้พรุ่งนี้ฝนหยุดตก เพื่อจะได้เดินทางลงเขาไปน้ำตกหมันแดงได้

เช้าวันใหม่ตื่นเตรียมตัวเช็คเอาท์บ้านพัก ทานอาหารเช้า จัดเตรียมสัมภาระและอาหารให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปยังหน่วยน้ำตกหมันแดง ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปทางอำเภอหล่มสัก ทางหลวงหมายเลข 2331 ประมาณ 22 กิโลเมตร แม้ว่าจะเริ่มสายแล้ว เมฆหมอกบปกคลุมหนาเต็มพื้นที่ มองไม่เห็นเส้นทางขับรถ อันตรายต้องระวังในการขับขี่อย่างมาก ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่หน่วยหมันแดง


หน่วยเจ้าหน้าที่อุทยานน้ำตกหมันแดง
เดี๋ยวๆ เติมพลังแปป
พบว่าเรามาถึงเร็วมากยังไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ แต่ก็โชคดีได้เจอกับพี่ๆกลุ่มหนึ่งสามคน จึงได้ขอไปรวมกลุ่มกับพี่ๆเขาและเดินทางลงเขาไปยังน้ำตกหมันแดงพร้อมกัน









 และแล้วก็ถึงจุดหมาย ลงเขามาเรื่อยๆกว่า 3.5 กิโลเมตรก็ถึงที่หมาย น้ำตกหมันแดงชั้นที่ 1 ซึ่งยังเป็นช่วงหน้าผาชันลงเหว น้ำตกหมันแดงมีชั้นสวยๆๆถึง 32 ชั้น แต่ส่วนใหญ่ไปได้แค่ 8 ชั้น ไกลกว่านั้นน้ำตกจะเริ่มเป็นชั้นเล็กๆ


น้ำตกหมันแดงชั้นที่ 4
น้ำตกหมันแดงชั้นที่ 5


ดอกลิ้นมังกรสีชมพู ที่ออกดอกโชว์แค่หน้าฝนเท่านั้น







สุดท้ายฝากไว้กับภาพคู่นะคะ :)

สวัสดี