วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

"โลภ โกรธ หลง" สิ่งกระตุ้นพื้นฐานของมนุษย์

ก่อนจะมาเขียนหัวข้อนี้ เนื่องจากเริ่มสังเกตุตัวเองและคนรอบข้างว่ามีกิเลสตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมาก นั่นก็คือ"ความโกรธ" ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายและบ่อยมากที่สุดในชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยธรรมดา การขับรถบนท้องถนน การอ่านข่าวในโลกโซเชียลแล้วทำให้เกิดอารมณ์ร่วม และหากเราไม่รู้เท่าทันความโกรธนี้ ก็มีแต่จะเผาจิตใจเราให้ร้อนรุ่ม ร่างกายเกิดความเครียดและส่งผลออกมาทางหน้าตาให้ดูเศร้าหมองและอมทุกข์ นี่เป็นประสบการณ์ที่ได้เจอกับตัวเองและคนรอบข้าง ...จึงทำให้กลับมาคิดว่า แล้วเราจะมีวิธีจัดการกับความโกรธนี้ได้อย่างไรบ้าง ...จนกระทั่งได้มาเจอหนังสือเรื่อง ฝึกให้ไม่คิด ของพระริวโนะสุเกะ ได้กล่าวถึง "โลภ โกรธ หลง" สิ่งกระตุ้นพื้นฐานของมนุษย์ได้ลึกซึ้งและน่าฟังดังนี้ว่า



โลภ โกรธ หลง สิ่งกระตุ้นพื้นฐานของมนุษย์

ความจริงแล้วการมัวแต่คิดเรื่องอื่นจนไม่ได้สนใจคนที่อยู่ด้วยเป็นกระแสที่คนจำนวนมากหลีกเลี่ยงไม่ได้และส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในห้วงกระแสนี้

คนสองคนที่เพิ่งรู้จักกันจะยังใหม่ต่อกันมาก พูดให้เห็นภาพคือ เมื่อภาพที่เห็นยังใหม่อยู่ ใจก็จะเต้นตึกตักต่อสิ่งเร้าใหม่ๆ ดังนั้นเมื่อฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนทรงผมเพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายจะสังเกตได้ หรือถ้าการแสดงออกของฝ่ายหนึ่งดูขุ่นมัวแม้เพียงเล็กน่อย อีกฝ่ายก็กลัวว่าเขาจะเบื่อหรือเปล่านะและจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่สนุกทันที

แต่เมื่อคุ้นเคยกับเรื่องราวของฝ่ายหนึ่งมากขึ้นแล้ว แม้สีหน้าของฝ่ายนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมองดูด้วยสติรับรู้ที่หยาบๆกลับมองเห็นหน้าของฝ่ายนั้นเหมือนกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป นี่คือความเบื่อหน่าย ที่พูดถึงกันวันต่อวัน คือเมื่อได้รับสิ่งเร้าแบบนี้พอแล้วและจะเริ่มเรียกร้องหาสิ่งเร้าอื่นๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีทั้งที่วิ่งเข้าหาเพศตรงข้ามคนใหม่และมีอีกหลายคนที่วิ่งหาคนรักในจินตนาการ แม้จะเรียกว่าคนรัก แต่ไม่ได้หมายถึงเพศตรงข้ามเป็นการเอาแต่คิดหมกมุ่นในสมองถึงสิ่งที่ตัวเองชอบหรือติดอกติดใจ เป็นการหลบเข้าเกราะกำบังในสมอง แล้วความสนใจที่มีต่ออีกฝ่ายก็จืดจางลงไป ระยะเวลาของความเบื่อหน่ายนี้มีทั้งคนเบื่อเร็วและคนเบื่อช้า ความเบื่อหน่าย สัมพันธ์ลึกซึ้งกับ "กิเลสตัณหา"

พวกเรารับรู้ข้อมูลต่างๆผ่านทางตา หู จมูก ลิ้นและร่างกายเสมอ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นมีพลังงานสำคัญที่เป็นตัวผลักดันในใจ อันเป็นยาพิษในใจสามตัว คือ  "โลภ โกรธ และหลง"

ข้อมูลที่มองเห็นด้วยตาและได้ยินด้วยหู พลังงานที่กระตุ้นใจจะทำให้เรียกร้องว่า "อยากได้อีก อยากได้อีก" พลังงานนั้นเรียกว่าความโลภ

เมื่อได้รับคำเยินยอจากใครสักคนที่ไม่คาดคิดมาก่อนและกำลังหลงระเริงอยู่ พลังของความโลภที่เอาแต่ไขว่คว้า อยากได้อีกก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา ในทางตรงกันข้ามพลังงานที่กระตุ้นให้ผลักไสข้อมูลที่จะเข้ามาว่า "ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากดู ไม่อยากฟัง" เรียกว่า ความโกรธ หรือเวลาที่ถูกคนอื่นพูดเสียดสี ถากถางและรู้สึกไม่พอใจ พลังของความโกรธที่ตั้งใจจะกำจัดเป้าหมายที่ไม่พึงปรารถนาให้พ้นไปจะถูกกระตุ้นว่า "ไม่อยากฟังเสียงนี้" 

โกรธในที่นี้ความหมายกว้างมาก รวมทั้งความคิดในแง่ลบว่า "ความท้อถอย" "การอิจฉาคนอื่น" "การไม่ได้ดั่งใจหวัง" "การเสียใจกับอดีต" "ความอ้างว้าง"  "ความเครียด" ซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานหนึ่งของความโกรธทั้งสิ้น ความรู้สึกเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นที่เหมือนเป็นการเติมน้ำมันให้พลังความโกรธมีชีวิต แม้จะเกิดกำลังต่อต้านเรื่องที่ได้รับรู้เพียงเล็กน้อยก็เรียกว่า "โกรธ"

ทุกครั้งที่ปล่อยให้ความรู้สึกติดลบที่กล่าวมานี้ไหลออกไป ปล่อยให้พลังงานที่ไม่ดีของความโกรธที่รวมตัวอยู่จำนวนมากทวีความรุนแรงขึ้น พลังนี้ก็มีแต่จะกลายเป็นต้นตอของความเครียดหรือสร้างนิสัยที่จมอยู่ในความคิดแง่ลบได้ง่าย

ความโกรธเหล่านี้เมื่อมากระทบก็เกิดการเขย่าหัวใจให้สั่นสะเทือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายๆครั้ง เมื่อรู้ว่ามีใครสักคนพูดถึงตัวเองไม่ดีจนใจถูกครอบงำไปด้วยความโกรธแล้ว ความโกรธจะถูกจารึกพร้อมกับสิ่งเร้าที่รุงแรง ในระหว่างนั้นชั่วเวลาหนึ่งจะเกิดความคิดที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมานกลิ้งขลุกๆอยู่ในหัวว่า
"พูดจาเช่นนั้นแย่จริงๆ" หรือ
"โอ้ ถ้าคนอื่นเชื่อตามนั้นจริงและดูถูกหยามฉันขึ้นมาจะทำอย่างไร"

ข้อความเดิมๆจะถูกทวนซ้ำหลายๆครั้ง ย้ำหลายๆรอบ พูดอีกแง่คือหน่วยความจำหลักของจิตถูกใช้ไปเพื่อการนี้จนไม่เหลือให้ใช้เพื่อเรื่องสำคัญอื่นๆ และในไม่ช้าเมื่อเวลาผ่านไป "ความโกรธ" เช่นนี้ก็จะไปค้างคาในใจและเราจะค่อยๆลืมมันไปเอง 

แต่อีกด้านหนึ่งนั้นข้อมูลที่ถูกจารึกไว้ในใจด้วยพลังความโกรธ ไม่ว่าเมื่อใดข้อมูลนั้นก็ยังคงเหลือซ่อนเร้นอยู่

กระบวนการลืมคือวิธีการลดความถี่และเวลาในการตอกย้ำข้อมูลเหล่านั้นให้น้อยลงด้วยสติ กล่าวคือ เป็นเพียงการลดทอนข้อมูลให้น้อยลงและก็ยังไม่มีสติรู้ตัวที่ชัดเจน เพราะข้อมูลยังคงมีอิทธิพลผสมอยู่ในการเคลื่อนที่ของจิต

เนื่องจากความคิดที่ดังสะท้อนไปมาเบาๆว่า "แย่แล้ว" หรือ "โอ้...ทำยังไงดี" เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็หายไป ดังนั้นเจ้าตัวเองก็ไม่รู้สึกตัวว่ากำลัง "เอ๊ะ..." และกลายเป็นว่าเกิดรู้สึกอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อเป็นเช่นนี้ การไม่มีสติ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือการที่ความคิดโผล่มาและหายไปในช่วงเวลาสั้นๆจนตั้งสติไม่ได้นั้น เป็นกลไกเกี่ยวพันกับความคิดที่เกิดขึ้นใหม่ต่อไปเรื่อยๆ

ขอให้พวกเราลองคิดดู
ตัวอย่างเช่น เริ่มเชื่อต่อด้วยการคิดว่า "เอ๊ะ ทำยังไงดี" ความคิดก็อาจเริ่มต้นขึ้นมาเองโดยไม่สนใจใครเลยก็ได้ว่า "ถ้างานนี้ล่มจะทำยังไง" หรือ "ถ้าพลาดไปแล้วโดนคนโน้นหาว่าบ้าจะทำยังไง"

จากนั้นความคิดที่บ่นพึมพำในใจก็จะยิ่งขยายเพิ่มปริมาณและยิ่งกินพื้นที่ของหน่วยความจำหลักมากขึ้น ทำให้รับรู้ภาพทิวทัศน์ที่เห็นตรงหน้าและบุคลิคลักษณะของคนได้ไม่ชัดเจน ทำให้จับสำเนียงเสียงธรรมชาติไม่ได้ แม้จะกินอะไรเข้าไปก็ไม่รู้สึกพึงพอใจ เนื่องจากความรู้สึกในการรับรสขาดหายไป เป็นต้น กลายเป็นว่าความพึงพอใจในชีวิตเรื่องที่ตนเองมีชีวิตมั่นคงได้หายไป

ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าจะลองวิเคราะห์เรื่องการสูญเสียความพึงพอใจคงกล่าวได้ดังต่อไปนี้ แม้ตั้งใจจะ "ดู ฟัง สัมผัส" แต่ในความเป็นจริงเสียงรบกวนภายในหน่วยควาจำหลักไป ทำให้ข้อมูลสดใหม่เข้าไปไม่ได้

สมมติว่าเราใช้เวลา 10 วินาทีฟังคำพูดของใครสักคน แม้ในระหว่าง 0-1 วินาทีแรกจะฟัง แต่ 9 วินาทีที่เหลือก็จะเริ่มคิดว่า "ฝ่ายนั้นกำลังคิดถึงฉันว่าอย่างไรนะ" หรือบางทีเสียงรบกวนในอดีตก็จะดังสะท้อนก้องไปมาจนบั่นทอนประสาทสัมผัสทั้งห้า ทำให้เรารับรู้ได้ไม่ชัดเจน

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป
ใน 10 วินาทีความรู้สึกที่แท้จริงหายไป 9 วินาที
ใน 60 นาทีความรุ้สึกที่แท้จริงหายไป 54 นาที
ในไม่ช้าเมื่ออายุมากขึ้นแล้วมองย้อนกลับไปที่อดีต คงจะพบว่า "รู้สึกว่าเวลาหลายปีมานี้ช่างผ่านไปเร็วเกินไปนะ"นั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกเสียจากการรับรู้ที่แท้จริงของประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกกลบด้วยเสียงรบกวนของความคิดที่สะสมอย่างมากมายตั้งแต่อดีต

ดังนั้นเมื่อเสียงรบกวนเป็นฝ่ายขนะความรู้สึกที่แท้จริงโดยสมบูรณ์ คนเหล่านั้นจึงมองว่าเลอะเลือน ไม่เพียงแต่ข้อมูงในอดีตที่ตกอยู่ภายใต้กาควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบ แต่กับความเป็นจริงใหม่ๆก็รับรู้ไม่ได้ด้วย ดังนั้นเวลาคนเหล่านั้นเห็นหลายชายของตนจึงกลับหลงคิดว่าเป็นลูกชายตนเองไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แก้อะไรไม่ได้เลย

ต้นตอใหญ่ของเรื่องทั้งหมเนี้คือ "การกระตุ้นด้วยความคิดแง่ลบว่าเรื่องจริงที่ปรากฎตรงหน้าธรรมดาเกินไป น่าเบื่อ" ความคิดจึงถูกตั้งโปรแกรมให้ไปทางลบทันทีโดยไม่สนใจอะไรเพื่อให้ได้สิ่งเร้าใหม่ๆมากระทบใจ

"โรคความคิด" คืออาการซึ่งขณะที่ป่วยด้วยการคิดก็ค่อยๆ "ไม่รับรู้" ทีละน้อยโดยไม่รู้สึกตัว จนกลายเป็นการหลงลืมไปพร้อมๆกัน เมื่อรู้เช่นนี้คงอยากห้ามไม่ให้ภายในใจพูดพึมพำเรื่องไร้สาระต่อไปทันทีทันใด ดังนั้นเราจึงเรียกอาการเบื่อเอียนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าและแสวงหาสิ่งเร้าอื่นมาเป็นแรงกระตุ้นใจว่า "ความหลง"

ทั้งๆที่คู่สนทนากำลังพูด แต่ใจกลับล่องลอย เอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่า "เรื่องน่าเบื่อขนาดนี้ไม่สนใจแล้ว" อยากหนี ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรฟังเข้าหูเลย

ความหลง คือกิเลสที่เรียกว่า ความไม่รู้ นั่นเอง


ความไม่รู้ ไม่ใช่ไม่มีการศึกษาหรือหัวไม่ดี แต่หมายถึง การที่ไม่รู้ว่าสติกำลังเคลื่อนไหวอยุ่ในร่างกายของตนอย่างไร หรือความคิดอย่างไรที่กำลังปั่นป่วนวกวนอยู่

พลังงานที่สูญเสียไปในระหว่างการคิด มีผลทำให้ปรพสาทสัมผัสต่างๆทั้วการมองเห็น การได้ยิน และการสัมผัสไม่เฉียบคม เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการคิดโน่นนี่ในสมองมากเกินไป ประสาทสัมผัสทางกายจึงทำงานแบบขอไปที จิตใจและร่างกายจึงไม่ไปในทิศทางเดียวกัน

การคิดทำให้สมองบางส่วนทำงานอย่างหนัก เราจึงจับข้อมูลของร่างกายและจิตใจไม่แม่นยำ จึงยิ่งทำให้ "ไม่รู้" เนื่องจากจับสีหน้าหรือน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของคู่สนทนาไม่ได้ชัดเจน เลยมักจะรู้สึกว่าทำหน้าตาแบบเดิมๆอีกแล้ว หน้าเบื่อจัง

ท้ายที่สุดเรื่องที่คิดอยู่ในหัวก็จะมีแต่ความคิดไร้สาระซ้อนทับกัน ไม่รับรู้เรื่องจริงที่เกิดขึ้น หรือไม่รับรู้แม้กระทั่งการเคลื่อนที่ของสติตนเอง "ความไม่รู้" ทำให้จิตหลบหนีจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปสู่ความคิดในสมอง ดังนั้นเมื่อปล่อยให้ พฤติกรรมการคิด ดำเนินต่อไปครั้งหนึ่ง พฤติกรรมที่คิดมากก็นำไปสู่นิสัยที่จมอยู่กับความคิดได้ง่าย แม้จะไม่ใช่เวลาที่ควรคิด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็หลีกเลี่ยงการจมอยู่กับความคิดไม่ได้


วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บทสวดมนต์พื้นฐาน

หัวข้อนี้อยากแนะนำบทสวดมนต์พื้นฐานเบื้องต้นสำหรับคนที่อยากสวดมนต์ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดีนะคะ เลยอยากแนะนำบทสวดมนต์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ให้ค่ะ เป็นบทสั้นๆง่ายๆโดยใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น สวดได้ทุกวันเวลาไหนก็ได้ ลายคนอาจสงสัยทำไมถึงต้องสวดมนต์ ได้ประโยชน์อย่างไร ขอยกเอาคำพูดของพระอาจารย์อัครเดช ญาณเตโช ว่าดังนี้ 

"ร่างกายมีความจำเป็นต้องได้รับการอาบน้ำชำระล้างสิ่งสกปรกออกฉันใด แม้จิตใจก็มีความจำเป็นต้องชำระให้ผ่องแผ้วฉันนั้น แต่ความยุ่งยากในการทำความสะอาดจิตใจคือเราไม่สามารถจะใช้น้ำหรือสิ่งใดๆในโลกมาล้างใจให้สะอาดได้ ยกเว้น พุทธธรรม ที่เกิดขึ้นในใจของผู้นั้น ทั้งนี้ที่ใจเป็นสิ่งที่เห็นได้โดยยากประการหนึ่ง ประการที่สองใจไม่ค่อยยอมอยู่นิ่งๆ ชอบเที่ยวชอบคิดตลอดเวลา ประการที่สามใจมักจะหลงพอใจในอารมณ์ที่น่าชอบใจ จึงมักนำความเดือดร้อนใจมาสู่ตนเองเสมอ

วิธีสร้างพุทธธรรมให้เกิดขึ้นในดวงใจ มีวิธีง่ายๆคือการสวดท่องหรือสวดหัวข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งเราเรียกว่าสวดพุทธมนต์หรือเรียกสั้นๆว่าสวดมนต์ ดังนั้นนับแต่สมัยก่อนเราจึงนิยมสวดมนต์มีการทำวัตรเช้าและเย็นตลอดมา"

โดยบทสวดมนต์นี้ต้องขอบคุณหนังสือและคำแนะนำจากพี่หนิง ณัฐภูเบศร์ เมธีรัตน์วรากร เป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้ค่ะ ทุกตัวอักษรพิมพ์อย่างตั้งใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจค่ะ 


อย่างแรกต้องสมาทานศีลห้าก่อนสวดบทอื่นใด สวดด้วยเสียงที่ดังมีพลังและการกราบไหว้พระให้กราบไหว้ด้วยสติพิจารณาตาม ตั้งแต่พนมมือ ก้มหน้าลงและหน้าผากแตะพื้น เจริญสติตามไป ทำให้ละเอียด

บทสมาทานศีลห้า
:: คำบูชาพระ ::
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ (สวดหลายคนลงท้าย มะ)
อิมินา สักกาเรนะ ธัมธัง อะภิปูชะยามิ
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ

คำนมัสการพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมา สัมพุธโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ) 
สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ) 
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

คำอาราธนาศีล ๕
อะหังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนะถายะ (สวดหลายคนเปลี่ยน อะหัง เป็น มะยัง) 
ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
ทุติยัมปิ อะหังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ 
ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
ตะติยัมปิ อะหังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ 
ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ

คำนมัสการพระพุทธเจ้า
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุธธัสสะ (๓ จบ)

ไตรสรณคมณ์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ศีล ๕
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

คำขอขมาพระรัตนตรัย
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่านได้โปรดงดเว้นโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

(หลังจบบทนี้ ใครอยากสวดมนต์บทอื่นๆให้สวดต่อท้ายบทนี้)

คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง
(การแผ่เมตตาให้ใคร ต้องให้ตนเองก่อน เมื่อเรามีบุญจึงให้คนอื่นได้ค่ะ)
อะหัง สุขิโตโหมิ             ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข
อะหัง นิททุกโข โหมิ        ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากทุกข์
อะหัง อะเวโร โหมิ          ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากเวร
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ   ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความลำบาก
อะหัง อะนีโฆ โหมิ          ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากอุปสรรค
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ   จงรักษาตนให้มีความสุขตลอดกาลนานเทอญ

คำแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่น
สัพเพ สัตตา   สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชชา โหนตุ     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ     จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (๓ จบ)
ขอให้ปัญญาทางธรรมจงเกิดแก่ข้าพเจ้า

(พอจบสมาทานศีลก็เข้านอนได้เลยหรือหากใครอยากนั่งสมาธิต่อให้ขอพระกรรมฐานก่อนแล้วจึงนั่งสมาธิ)

คำสมาทานขอกองพระกรรมฐาน
(สวดบทนี้ต่อเลยหลังจากสมาทานศีลแล้วจึงนั่งสมาธิ) ตามแนวหลวงปู่กบ วัดเขาสาลิกา หลวงปู่โอภาสีและหลวงพ่อปรีชา

กราบพระ (ตั้ง นะโม ๓ จบ)
ข้าพเจ้าขอกราบไหว้บูชา พระพุทธโธ พระธัมโม พระสังโฆ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า (๓ จบ)

บูชาพระ
อุกาสะ อุกาสะ ดอกไม้ธูปเทียนชวาลา (ถ้าไม่มีดอกไม้ธูปเทียนให้ตัดคำว่า ดอกไม้ธูปเทียนชวาลาออก)
รูปนามและชีวิต พร้อมไปด้วยการปฏิบัติ ทั้งภายในและภายนอก ขอบูชาแก่ พระโพธิญาณ พระพุทธัง พระธรรมมัง พระสังฆัง ขอให้พระแม่ธรณีจงมาเป็นทิพญาณ ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดนะพระเจ้าข้า

อาราธนาพระ
อุกาสะ อุกาสะ ข้าพเจ้าจะขออุปจาระวิถี พระอัปปนาระวิถี พระสมาธิโลกุตระ พระธรรมเจ้า ข้าพเจ้าจะขอน้อมเข้าในห้องพระขุทธกาปิติเจ้า พระขณิกาปิติเจ้า พระโอกันติกาปิติเจ้า พระอุเพ็งคาปิติเจ้า พระผรณาปิติเจ้า อันบังเกิดแก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกกะโพธิเจ้า พระอรหันตาเจ้าที่ล่วงเข้าสู่นิพพานไปแล้วมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔ ตันติพระเพณี อันบังเกิดแก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกกะโพธิเจ้า พระอรหันตาเจ้าทั้งหลาย มีฉันท์ใดๆก็ดี ขอพระธรรมเจ้าจงมาบังเกิดให้กว้างขวางในขันธ์ทั้ง ๕ แห่งข้าพเจ้าในกาลบัดเดี๋ยวนี้

พระพุทธคุณนัง ข้าพเจ้าจะขอถวายชีวิตตัง ยาวะนิพพานัง สะระณังคัจฉามิ
พระธรรมคุณนัง ข้าพเจ้าจะขอถวายชีวิตตัง ยาวะนิพพานัง สะระณังคัจฉามิ
พระสังฆคุณนัง ข้าพเจ้าจะขอถวายชีวิตตัง ยาวะนิพพานัง สะระณังคัจฉามิ

วิรัติศีล
อุกาสะ อุกาสะ ข้าพเจ้าจะขอถือสัตย์รับศีลแก่พระโพธิญาณ จะขอรับเอาพระสมาธิมาเป็นธงชัย จะระลึกถึงพระพายมาเป็นอารมณ์ กายอย่างหนึ่ง วาจาอย่างหนึ่ง มะโนอย่างหนึ่ง จะไม่ให้เป็นกรรมแก่สัตย์และมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยข้าพเจ้าจะไม่นิยมไปด้วยมูตรและคูตสัมผัสถูกต้องรูปเสียงกลิ่นรส โภชนาอาหาร น้ำฉันและน้ำชา พระให้พิจารณาเป็นของเปื่อยเน่าไปทั้งสิ้น เครื่องไม่จีรังนี้ เป็นของพญามัจจุราช ที่ได้หล่อหลอมรูปมา ตั้งแต่อเนกชาติรูปนี้แตกดับไป จะขอวางซากอะสุภะนี้ไว้เหนือพื้นปฐพี ส่วนนามธรรมของพระนี้ ขอให้พระแม่ะรณีจงมาช่วยแบกหาม อุดหนุนค้ำจุน ข้ามส่งองค์พระพาย จะเสด็จเข้าไปในโลกใหญ่ ขอให้เป็นสุขในห้องพระนิพพาน

เสี่ยงพระบารมี
อุกาสะ อุกาสะ ข้าพเจ้าจะขอเสี่ยงนะพระบารมี ขอให้แม่พระธรณี นำเอาบารมี ๓๐ ทัศ ของข้าพเจ้า ข้ามส่งให้ถึงหนทางพระนิพพาน ที่ทำการของพระในครั้งนี้

(หลังจากขึ้นกองกรรมฐานแล้ว นั่งสมาธิต่อได้เลย เมื่อถอนสมาธิแล้วให้กรวดน้ำ โดยไม่ใช้น้ำจริง เราจะใช้น้ำจริงตอนที่ถวายของที่พระสงฆ์ฉันได้ โดยการกรวดน้ำแบบนี้เรียกว่าการกรวดน้ำแห้ง เป็นบทกรวดน้ำใหญ่ ดังนี้)

บทกรวดน้ำแห้ง 
พระจัตตุโลก พระยมกทั้งสี่ ขอส่งน้ำอุทิศนี้ เข้าไปยังลังกาทวีป ในห้องพระสมาธิ เป็นที่ประชุมการใหญ่ของแม่พระธรณี ขอแม่พระธรณีจงมาเป็นทิพย์ญาณ เป็นผู้ว่าการในโลกอุดร ขอให้แม่พระธรณีจงนำเอากุศลผลบุญของข้าพเจ้า ที่ได้กระทำในครั้งนี้ นำส่งให้แก่ข้าพเจ้าในการบัดเดี๋ยวนี้
พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้แก่สรรสัตว์ที่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ และขอถวายเป็นปฏิบัติบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยะเจ้า พระอริยะสงฆ์ และพระปัจเจกโพธิเจ้า พระอรหันตาเจ้า
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ บิดา มารดา ตระกูลพ่อ ตระกูลแม่ ตระกูลพี่ ตระกูลน้อง ตระกูลปู่ ตระกูลย่า ตระกูลตา ตระกูลยาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย เพื่อสนิทมิตรสหายทั้งหลาย จงนำและได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้พึงกระทำในครั้งนี้ ขอให้บุคคลที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี ที่ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ทั้งในภพนี้และในภพที่เคยผ่านมา จงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้พึงกระทำ เมื่อได้รับอานิสงส์แล้ว จงปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้แก่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งครอบครัวข้าพเจ้าทั้งตระกูลปู่ ตระกูลย่า ตระกูลตา ตระกูลยาย ตระกูลพี่ ตระกูลน้อง
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พระราชาพระมหากษัติย์ เศรษฐี มหาเศรษฐี ที่สืบสานพระศาสนาตั้งแต่พุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มีพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอโศกมหาราช พระราชามหากษัตริย์ไทย มีพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และวีรกษัตริย์ทุกๆพระองค์ อันได้แก่สมเด้จพระพี่นางสุพรรณกัลยา เป็นต้น
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้จตุสดมภ์ทั้งสี่ ขุนเวียง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนา ท่านแม่ทัพนายกอง หัวหมู่ขุนพล ทหารหาญทั้งหลาย ข้าทาสบริวาร ครูหมัด ครูมวย ครูหอก ครูดาบ ครูศาสตราวุธ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ทุกกรมกอง
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พระแม่ธรณี แม่พระคงคงามหาสมุทร แม่พระโพสพ แม่พระเพลิง แม่พระพาย เจ้าทะเล เจ้าบาดาล เจ้าพิภพ
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้สุริยจักรวาล มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ 
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัตตะโลหะ นวโลหะ รัตนะชาติ แร่ธาตุทั้งหลาย ช้างศึก ม้าศึก ช้างเสบียง ม้าเสบียงทั้งหลาย วัวควายทั้งหลาย หมูเห็ด เป็ดไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งสัตว์น้ำจืดน้ำเค็มและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั้งหลาย สัตว์ปีกทั้งหลาย สัตว์ปีนป่ายทั้งหลาย สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย สัตวืในไข่ทั้งหลาย สัตวืในครรภ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเข่นฆ่าก็ดี บริโภคก็ดี อยู่ในเนื้อ อยู่ในหนัง อยู่ในกระดูก อยู่ในตับ ไต ไส้ พุง อยู่ในทั้งหมดอาการ ๓๒ ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัมมาอาชีพและปัจจัยสี่ของข้าพเจ้าที่ได้มีกินมีใช้ ขอให้สัมมาอาชีพจงได้รับอานิสสงส์ผลบุญนี้
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พยัญชนะ ตัวอักษรทุกภาษาในโลกนี้ เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด จงมีส่วนในบุญของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ทรัพย์ของแผ่นดิน ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยจะเกิดมาเป็นลูกเป็นหลานแล้วไม่ได้เกิด จงได้รับในบุญกุศลและงดเว้นจากการจองเวร
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ดวงจิตของข้าพเจ้าที่เคยตกหล่นเป็นกรรมอยู่ในนรกภูมิที่อยู่ทุกๆขุมนรกจงหลุดพ้นจากอุปกรรม วิบากกรรม เคราะห์กรรม ด้วยกุศลในครั้งนี้
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ เชื้อโรค เชื้อรา เชื้อร้าย เชื้อมะเร็งท้งหลาย เชื้อไวรัสทั้งหลาย จงมีส่วนได้รับในบุญกุศลนี้ และดรคร้ายขออย่าพึงมี อย่าได้เกิดกับลูกหลานข้าพเจ้า จงหยุดที่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ตั้งแต่นรกภูมิ อบายภูมิ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เปรตทั้งหลาย อสูรกายทั้งหลาย ทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน นรกทุกชั้น นรกทุกขุม ทุกภูมิ สัมเวสีทั้งหลาย ทั้งที่เป็นญาติและไม่ใช่ญาติ ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ที่รู้จักก็ดี ที่ไม่รู้จักก็ดี ที่เอ่ยถึงก็ดีและไม่เอ่ยถึงก็ดี ที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ทั้งที่มีกายและไม่มีกาย ทั้งที่มีธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟและไม่มีธาตุ จงรับเอาส่วนกุศลได้กระทำในครั้งนี้
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พญาครุฑ พญานาค พญาอนันตนาคราช พญางู พญาเงือก พญาหนุมาน พญาเสือ พญาสิงห์ พญาเต้า พญาจระเข้ พญาปลาไหล พญาตะขาบ พญาแมงป่อง ปู่ฤาษีทั้ง ๑๐๘ พระองค์ ปู่อินตา ครูยา หมอยา เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าที่ที่บ้าน เจ้าที่ที่ทำงาน รุกขเทวดา นางไม้ทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ธนบัตร ทุกสกุลเงินตราของโลกนี้ ที่เป็นทรัพย์ภายนอก จงได้รับในกุศลผลบุญของข้าพเจ้า
กรรมใดก็ดี ที่ข้าพเจ้าเคยมีกรรมต่อทรัพย์ของแผ่นดิน คนของแผ่นดิน ทำผิดเป็นถูก ทำถูกเป็นผิด และกรรมใดที่ข้าพเจ้าเคยสร้างกรรมกับผู้ใดไว้  ไม่ว่าอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์ ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเคยสร้างเวรสร้างกรรมต่อท่าน จงได้รับอานิสสงส์ผลบุญของข้าพเจ้า เมื่อได้รับผลบุญของข้าพเจ้าแล้ว จงปลดปล่อยกรรม ปลดเปลื้องกรรม งดเว้นการจองเวรและขอดวงจิตที่เกิดในภพนี้ ชาตินี้ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ด้วยกุศลในคราวครั้งนี้ด้วยเทอญ

...

ที่มา: หนังสือการสวดมนต์ที่ถูกต้อง ชีวิตเปลี่ยนทุกคน
เขียนโดย: ณัฐภูเบศร์ เมธีรัตน์วรากร 

-ตอนแรกที่เขียนบทความนี้เสร็จ ไม่สามารถโพสได้เลย แก้ไขอยู่นาน ไม่ว่าจะรีเฟรชกี่ครั้งก็ไม่ได้ ทันใดนั้นคิดได้ เลยลองตั้งจิตอธิษฐานขออนุญาติว่า เราตั้งใจดี อยากแนะนำบทสวดมนต์นี้ให้แก่คนที่สนใจจริงๆ และขออานิสสงส์ผลบุญนี้จงเกิดแก่ทั้งพี่หนิงผู้ที่ให้หนังสือข้าพเจ้ามาและครูบาอาจารย์เจ้าของบทสวดทุกท่าน คือเท่านั้นจริงๆ ก็มีเสียง ตู้ด! ดังในคอมและก็โพสได้เลย... สาธุ สาธุ สาธุ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ)-